การกิน เป็นความจำเป็นสำหรับการมีชีวิต เพราะอาหารที่เรากินเข้าไปนั้นร่างกายนำไปใช้ให้เกิประโยชน์อยู่ 2 ประการ
1. คือนำไปบำรุงร่างกาย สร้างการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
2. คือทำให้เกิดพลังงานให้ร่างกายมีแรง ที่จะทำงานเคลื่อนไหวได้ดี
สองประการนี้จัดว่าเป็นหน้าที่หลังของอาหาร สารอาหารที่ร่างกายต้องการแบ่งเป็น 6 หมู่ วันหนึ่งๆร่างกายต้องการไม่กี่แคลอรี่
ตามปกติของคนทั่วไป เรากินอาหารกันสามมื้อ ทุกมื้อทุกวัน เราไม่ได้กินด้วยปัญญา คือ ไม่ได้กินกันตามทฤษฎีอย่างฝรั่งสอน ตามที่เล่าเรียนกันมา แต่เรากินกันตามกิเลส กินตามความอร่อย กินตามความอยาก
ดังนั้นการกิน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเจ็บป่วย เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ
เรากินกันเกินความต้องการของร่างกาย เป็นเหตุให้เกิดความอ้วน และความอ้วนก็เป็นต้นเหตุอีกหายโรค ทั้งโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขข้อเสื่อม โรคหัวใจ ฯลฯ
บางพวกกินน้อย เลือกกิน กินไม่ครบหมู่อาหาร ก็เป็นโรคขาดสารอาหาร ผอมจนเนื้อหุ้มกระดูก ร่างกายไม่สมบูรณ์
คนสมับโบราณ ท่านก็สอนเรื่องการกิน ว่ากินอย่างไรจึงจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย โดยเขาจะสอนว่าให้กินตามมีตามเกิด คำว่า "กินตามมีตามเกิด" คือ กินสิ่งที่เกิดขึ้นที่มีตามฤดูกาลนั้นๆ กินสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว
ความเจริญทางโลกทุกวันนี้ ทำให้เรากินผิดไปจากที่คนเก่าคนแก่สอน ผลไม้มาจากแดนไกลเราก็หากินได้ พืชผักผลไม้นอกฤดูกาล เราก็ทำกินได้
การกินจึงไม่ได้กินอย่างตามมีตามเกิด แต่เป็นการกินอย่างที่อยากจะกินต้องได้กิน จึงมีคำกล่าวที่น่าสนใจกล่าวว่า
" อาหาร เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย กินง่าย หากินก็ง่าย ทำให้เป็นคนอยู่ง่าย "
แต่.....
" รสชาติของอาหาร เป็นอาหารของกิเลส การปรุงแต่งเป็นไปตามกิเลส เพื่อสนองกิเลส ทำให้เป็นคนอยู่ยาก กินยาก"
ความอร่อยของอาหารที่เกิดจากการปรุงแต่ง ให้เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ให้พิสดารอย่างไร เมื่อตักเข้าปากมันอร่อยอยู่ตรงลิ้น พอกลืนผ่านลิ้นก็ไม่รู้รสแล้ว
ทำอย่างไรให้การกินของเราแต่ละวัน เป็นการกินที่มีปัญญา มีสติระลึกได้ว่าเราจะกินเพื่อบำรุงร่างกายให้ทรงอยู่ได้ในแต่ละวัน เป็นไปเพื่อประโยชน์ของร่างกายจะไม่กินไปเพื่อให้เกิดทุกข์แก่กาย
การกินเราจะไม่กินเพื่อไปหล่อเลี้ยงกิเลสตัณหา กินไปเพื่อเบียดเบียนสัตว์โลกที่เป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนสุขของเรา
อ้างอิงจากหนังสือ "กินอย่างไรจึงจะมีสุขภาพดี"
อาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา (บรรยาย)
จิระวิทย์ ศุภนันทกานต์ (เขียน/เรียบเรียง)
1. คือนำไปบำรุงร่างกาย สร้างการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
2. คือทำให้เกิดพลังงานให้ร่างกายมีแรง ที่จะทำงานเคลื่อนไหวได้ดี
สองประการนี้จัดว่าเป็นหน้าที่หลังของอาหาร สารอาหารที่ร่างกายต้องการแบ่งเป็น 6 หมู่ วันหนึ่งๆร่างกายต้องการไม่กี่แคลอรี่
ตามปกติของคนทั่วไป เรากินอาหารกันสามมื้อ ทุกมื้อทุกวัน เราไม่ได้กินด้วยปัญญา คือ ไม่ได้กินกันตามทฤษฎีอย่างฝรั่งสอน ตามที่เล่าเรียนกันมา แต่เรากินกันตามกิเลส กินตามความอร่อย กินตามความอยาก
ดังนั้นการกิน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเจ็บป่วย เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ
เรากินกันเกินความต้องการของร่างกาย เป็นเหตุให้เกิดความอ้วน และความอ้วนก็เป็นต้นเหตุอีกหายโรค ทั้งโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขข้อเสื่อม โรคหัวใจ ฯลฯ
บางพวกกินน้อย เลือกกิน กินไม่ครบหมู่อาหาร ก็เป็นโรคขาดสารอาหาร ผอมจนเนื้อหุ้มกระดูก ร่างกายไม่สมบูรณ์
คนสมับโบราณ ท่านก็สอนเรื่องการกิน ว่ากินอย่างไรจึงจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย โดยเขาจะสอนว่าให้กินตามมีตามเกิด คำว่า "กินตามมีตามเกิด" คือ กินสิ่งที่เกิดขึ้นที่มีตามฤดูกาลนั้นๆ กินสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว
ความเจริญทางโลกทุกวันนี้ ทำให้เรากินผิดไปจากที่คนเก่าคนแก่สอน ผลไม้มาจากแดนไกลเราก็หากินได้ พืชผักผลไม้นอกฤดูกาล เราก็ทำกินได้
การกินจึงไม่ได้กินอย่างตามมีตามเกิด แต่เป็นการกินอย่างที่อยากจะกินต้องได้กิน จึงมีคำกล่าวที่น่าสนใจกล่าวว่า
" อาหาร เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย กินง่าย หากินก็ง่าย ทำให้เป็นคนอยู่ง่าย "
แต่.....
" รสชาติของอาหาร เป็นอาหารของกิเลส การปรุงแต่งเป็นไปตามกิเลส เพื่อสนองกิเลส ทำให้เป็นคนอยู่ยาก กินยาก"
ความอร่อยของอาหารที่เกิดจากการปรุงแต่ง ให้เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ให้พิสดารอย่างไร เมื่อตักเข้าปากมันอร่อยอยู่ตรงลิ้น พอกลืนผ่านลิ้นก็ไม่รู้รสแล้ว
ทำอย่างไรให้การกินของเราแต่ละวัน เป็นการกินที่มีปัญญา มีสติระลึกได้ว่าเราจะกินเพื่อบำรุงร่างกายให้ทรงอยู่ได้ในแต่ละวัน เป็นไปเพื่อประโยชน์ของร่างกายจะไม่กินไปเพื่อให้เกิดทุกข์แก่กาย
การกินเราจะไม่กินเพื่อไปหล่อเลี้ยงกิเลสตัณหา กินไปเพื่อเบียดเบียนสัตว์โลกที่เป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนสุขของเรา
อ้างอิงจากหนังสือ "กินอย่างไรจึงจะมีสุขภาพดี"
อาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา (บรรยาย)
จิระวิทย์ ศุภนันทกานต์ (เขียน/เรียบเรียง)
It become an attractive part of a blog when author uses indirect speech while writing a blog. It shows your creative mind as well as make your written essay different from others.เห็ด หลิน จื อ pantip
ตอบลบ