วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

     สูตรที่ 7 แก้โรคหอบหืด

     ใช้       :     ขิงแก่ + กระเทียม + หอมแดง + มะนาว + น้ำผึ้ง
                                          ภาพจาก thaihof.org

     วิธีทำ :  ตัวยาที่แก้อาการหอบหืดได้ไว คือ ขิง (ขนาดเท้านิ้วหัวแม่มือผู้ป่วย) นำขิง กระเทียม หอมแดง (น้ำหนักเท่าขิง) นำเข้าเครื่องปั่นหรือตำในครก เติมน้ำดื่ม 1 แก้ว แล้วกรองเฉพาะน้ำ พอได้น้ำแล้วใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 3 - 4 ลูก น้ำจะออกเป็นสีชมพู แต่ถ้าน้ำที่ออกมาเป็นสีอื่นแสดงว่าน้ำนั้นใช้ไม่ได้ เวลาดื่ม ต้องนั่งดื่มอย่างเดียว เพราะยาแรงอาจทำให้ล้มได้ เวาที่ดื่ม ถ้าดื่ม 03:00 - 05:00 ดื่มเพียง 30 วัน แต่ถ้าเลยช่วงเวลานี้ไปก็ต้องดื่มเป็นเวลา 60 วัน

     ปัจจุบันคนที่เป็นหอบหืดที่รักษาไม่หายเพราะว่าร่างกายดื้อยา เรารักษาหอบหืดได้ ส่วนมากคนที่เป็นหอบหืดเพราะรับเชื้อชนิดหนึ่งมาจากในหมู เพราะหมูที่เขาเลื้ยงนั้นจะฉีดยาแก้หอบหืดให้มัน หรือคลุกในอาหารให้กินเพื่อที่หมูจะได้ไม่มีไขมัน หมูรุ่นใหม่ไม่มีไขมัน เพื่อที่จะได้เป็นหมูเนื้อแดง เมื่อคนเรารับประทานหมูเข้าไปจึงทำให้เราได้รับยานั้นไปด้วย พอเรารับประทานมากๆ เข้า ยาที่แก้โรคหอบหืดก็ไม่สามารถระงับอยู่แล้ว

     สูตรที่ 8 โรคริดสีดวง

     ใช้       :     มะระจีน นำมาตำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ ผสมเกลือ น้ำตาล ดื่มก่อน 07:00 น.
                                          ภาพจาก tsgclub.com

     บางคนรับประทานกล้วยหอมไม่ได้ ท้องจะอืดก็อย่ากิน ถ้าเป็นสูตรไทยรับประทานกล้วยหอมมื้อเย็นวันละ 2 ลูก ริดสีดวงก็จะฝ่อไปเอง สูตรจีนรรับประทานกล้วยหอมทั้งเปลือกได้ตลอดวัน(กล้วยหอมสุกอย่างเดียว) สไลด์กล้วยหอมทั้งเปลือกต้มน้ำให้ท่วมกล้วย แล้วเติมน้ำตาลกรวดนิดหน่อย (2 ลูก ต่อ 1 วัน) รับประทานทุกวันจนหาย

     อีกสูตรนำมะระพันธุ์ลูกใหญ่ๆ (มะระจีน) 1 ลูก เอาแต่เนื้อหั่นเป็นชิ้นๆ เหมือนชิ้นฟัก นำมาตำหรือปั่น เวลาตำหรือปั่นห้ามเติมน้ำเพิ่มเข้าไป ได้น้ำแค่ไหนเอาแค่นั้น (ถ้าเติมน้ำจะทำให้ท้องเสีย) เติมน้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ เกลือครึ่งช้อนชา เวลาที่ดีที่สุดที่ควรดื่มคือ เวลา 05:00 - 07:00 น.

     หมายเหตุ : กาลเวลากับการรับประทานอาหารให้เป็นยา เรื่องการกินอะไรให้ตรงเวลาก็มีผลต่อการรักษาอย่างเช่น

     1. การดื่มยาเพื่อรักษาโรคกระเพาะ เวลาที่ดีที่สุดคือ เวลาตั้งแต่ 07:00 - 09:00 น.
     2. การลดความอ้วนควรรับประทานขมิ้นชัน หรือมันเทศเวลาที่ดีคือ 09:00 - 11:00 น. จะสามารถลดได้เร็ว
     3. การบำรุงหัวใจ ถ้ารับประทานผลไม้ เวลาที่ดีที่สุดคือ 11:00 - 13:00 น.
     4. การกินยาลดไข้ เวลาที่ดีสุดคือช่วง 21:00 - 23:00 น.(น้ำขิงทำให้ลดไข้ได้)

     การเลือกเวลาที่รับประทานให้ตรงที่กำหนดนี้ ถ้าทำได้ การรักษาโรคต่างๆ จะให้หายเร็วกว่าปกติ

วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

     สูตรที่ 4 การล้างน้ำตาลในหลอดเลือด

     ใช้       :      กระเจี๊ยบ + พุทรา + รางจืด นำมาต้ม ดื่ม
                                          ที่มาภาพ plugmet.orgfree.com

     น้ำกระเจี๊ยบกับพุทราที่ต้ม บางคนอาจจะเพิ่มรางจืดเข้าไป เพื่อการล้างน้ำตาลในหลอดเลือดได้ีอีกตัวหนึ่ง

     สูตรที่ 5 การล้างสารเสพติด

     ใช้       :     หญ้าดอกขาวแห้งต้ม นำน้ำมาดื่ม
                                            ที่มาภาพ tarasamunpai.com
     ที่ใช้ล้างสารเสพติดก็คือหบ้าดอกขาว เอาหญ้าดอกขาวมาสับ ตากแดดไว้สักแดดแล้วเอามาคั่วให้แห้ง คือห้ามใช้สดๆ เพราะจะมพวกสารพิษอยู่ในตัว เอามาต้มเลยไม่ได้ต้องทำให้แห้งก่อน แล้วจึงจะเอามาต้ม ตัวนี้จะไปล้างสารเสพติด เช่น ติดบุหรี่ ติดเหล้า ติดน้ำตาล คือสารเสพติดที่ไปเคลือบเซลล์ประสาท น้ำตัวนี้จะไปล้างออกได้ แต่ว่าถ้าคนไม่เป็นอะไร ไม่ติดอะไร ต้มดื่มก็จะแค่บำรุงธาตุทำให้มีกำลัง

     หญ้าดอกขาว อยู่ในกลุ่มผัก ไม่อยู่ในกลุ่มยา ไม่เป็นอันตราย ต้มกินเล่นได้ ไม่เป็นอะไรก็กินได้ นี่ก็พวกกระบวนการล้างพิษ

     สูตรที่ 6 แก้โรคเบาหว่าน

     ต้นเหตุมาจากตับอ่อน ไม่แข็งแรง การฟื้นฟูตับอ่อน มีสมุนไพรอยู่ไม่กี่ตัว
                                            ที่มาภาพ balavi.com

     1. หญ้าหวาน จะฟื้นฟูตับอ่อนได้ดีที่สุด โดยเฉพาะตัวรากหญ้าหวาน มีการนำไปแปรรูปเป็นน้ำสกัดจากรากหญ้าหวานเป็นสินค้าส่งออก ส่วนใบหญ้าหวานก็รับประทานได้ ซึ่งพอจะชดเชยแก้เบาหวานได้บ้าง
                                          ที่มาภาพ samunprithai4u.blogspot.com

     2. รายเตยหอม ต้มกับน้ำสามารถฟื้นฟูอาการเบาหวานได้มาก บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานก็สามารถต้มรากเตยไว้รับประทานได้ มีคุณสมบัติอีกอย่างคือ เพิ่มพลัง (เหมือนกระชายดำ)
                                          ที่มาภาพ nanasarakaset.blogspot.com

     3. ใบมะยม สามารถฟื้นฟูตับอ่อนให้หายขาดได้ รับประทานได้ทั้งใบอ่อนและใบแก่ แต่ที่นิยมมากคือใบเพทาหลาด (ใบที่ไม่อ่อนไม่แก่เกินไป) นำมารับประทานได้โดยการต้ม แกงเลียง ต้มโคล้ง ต้มยำ หรือรับประทานสดๆ ก็ได้

.....ติดตามตอนต่อไป (ตอนที่ 3) ตอนจบ.....
     เมื่อเราทราบว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยเหตุหนึ่งมาจากการกินอาหาร เราต้องแก้ที่การกินอาหาร เรียกว่าเอาเกลือจิ้มเกลือ ในขั้นแรกจะขอแนะนำการล้างพิษเอาสิ่งที่เป็นพิษออกจากร่างการ (ด้วยการกิน) ตามวิธีแบบ "ธรรมชาติบำบัด"

     สูตรที่ 1 ล้างไขมันในลำไส้

     ใช้       :     โยเกิร์ต + นมสด (ประเภทพร่องไขมันก็ได้) + น้ำผึ้ง + มะนาว

     นำมาผสมกันในอัตราส่วนตามความชอบ ผสมแล้วดื่มตอนเช้า ในโยเกิร์ตมีแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส เมื่อเอามาผสมกับนมสด น้ำผึ้ง และมะนาว เพื่อเพิ่มตัวแบคทีเรียให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น แล้วจะเข้าไปทำลายไขมันในลำไส้

     สูตรที่ 2 ล้างพิษด้วยเห็ด 3 อย่าง
                                         ที่มาภาพ thaihealth.or.th

     ใช้       :     เห็ดสามชนิดที่รับประทานได้ นำมาต้มเอาน้ำมาดื่ม (ห้ามนำไปผัด) หรือทำอาหารประเภทแกงจืด แกงส้ม ตุ๋นไข่

     ในกระบวนการล้างพิษมันมีสูตรหลายตัวที่ช่วยในการล้างพิษหลายสูตร แต่ว่าบังเอิญอาจารย์สุทธิวัสส์ไปได้สูตรนี้จากผลพวงของงานวิจัย คือ สมัยที่ท่านหุ้นกันกับเพื่อนเป็นโรงงานผลิตยา และจะผลิตเห็ดหลินจือที่ดีที่สุดในโลก แพราะเห็ดหลินจือที่ขายในท้องตลาดมันไม่ดี เพราะกระบวนการผลิตยังไม่ได้ตัวของหลินจือที่ได้มาตรฐาน ก็พยายามที่จะค้นหาวิธีให้ได้เห็ดหลินจือที่ได้คุณภาพดี มีการวิจัยว่าลองให้เห็ดหลินจือหลายตัว หลายสายพันธุ์

     จนกระทั่งทดลองกับหลินจือ ลองเอาเห็ดธรรมดาไปทดลองร่วมด้วย คราวนี้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น เราพบว่าเมื่อเอาเห็ดธรรมดาที่รับประทานได้ 3 ชนิดขึ้นไป มาปรุงอาหารร่วมกัน ตัวอนุพันธ์ของเห็ดจะถักทอกันแล้วไปหุ้มสารพิษได้ โดยเฉพาะพวกอนุมูลอิสระ ซีสต์ เนื้องอก มะเร็ง อัลฟาท็อกซิล ที่อยู่ในตัวมันหุ้มออกมาได้ พอดีหลังจากนั้นโครงการผลิตเห็ดหลินจือจึงล้มโครงการ

     อาจารย์สุวัสส์ก็เอาเรื่องของการใช้เห็ด 3 ชนิดมาเผยแพร่ทั่วประเทศ มีคนเอาเห็ด 3 ชนิดมาปรุงเป็นอาหาร แต่ห้ามผัดน้ำมัน ขอให้เป็นแกงเลียง แกงส้ม ต้มยำ น้ำซุปก๋วยเตี๋ยว ขอให้ใส่เห็ด 3 อย่างที่รับประทานได้ ขอให้หาให้ได้ 3 - 4 อย่าง เช่น เห็ดหอม เห็ดหูหนูขาว เห็ดหูหนูดำ เห็ดอะไรก็ได้ที่กินได้รวมกัน ทำได้ทั้งอาหารคาวและเครื่องดื่ม

     บางคน เดี๋ยวนี้ต้มขาย มี 3 อย่าง เห็ดหูหนูขาว เห็หูหนูดำ เห็ดหอม ต้มด้วยกัน ใส่มะตูม ใบเตย ให้หอม เติมน้ำตาลกรวดก็เป็นเครื่องดื่มที่ขายกัน ขายดิบขายดี เป็นตัวล้างพิษได้ เพราะว่าาการสะสมของพิษไวรัสบีลงตับ ก็ถูกชำระสะสางด้วยตัวนี้ได้ดี นี่ก็เป็นอีกสูตรหนึ่งที่เผยแพร่ถึงการล้างพิษ

     สูตรที่ 3 การล้างหินปูนในหลอดเลือด

     ใช้       :     กระเจี๊ยบแดงสด หรือกระเจี๊ยบแดงแห้ง ต้มกับพุทราไทยแห้ง ต้มดื่มน้ำ
                                                 ที่มาภาพ store4thai.myreadyweb.com
     มีหมอท่านหนึ่งจะโจมตีเรื่องน้ำตาลมาก ว่าน้ำตาลเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะให้เหนียวเกาะที่หลอดเลือด ปกติหลอดเลือดคนจะลื่น พอน้ำตาลไปเกาะก็เหนียว เวลาโคเลสเตอรอล (cholesterol โคเล็ส'เทรรัล ไขมันในเลือด พบในมันสัตว์ น้ำดี เลือด เนื้อเยื่อสมอง น้ำนม ไขแดง ตัว ไต) ไหลผ่านมาน้ำตาลก็เกาะโคเลสเตอรอลไว้อีก ปกติโคเลสเตอรอล มีประโยชน์ทำให้คนอารมณ์ดี มีความสุข พอเจอน้ำตาลมันเหนี่ยวไว้ ทำให้โคเลสเตอรอลซึ่งเป็นตัวดี กลายเป็นโคเลสเตอรอลตัวร้าย ทำให้อุดตันในหลอดเลือด

     ตัวที่ล้างได้ ล้างตัวโคเลสเตอรอลในหลอดเลือดได้ หรือบางทีเกิดหินปูนตามร่างกาย ตามสมอง ตามตัว ไม่มีอะไรเข้าไปล้างหินปูนได้ เราพบว่า การเอากระเจี๊ยบแดงสดหรือแห้ง มาต้มกับพุทรา อันนี้สูตรโบราณ เขาจะใช้พุทราป่า พุทราบ้าน พุทราอยุธยา ต้มกับน้ำกระเจี๊ยบ ถ้าหายาก ก็เอาพุทราจีน คือ พุทราแห้งทุกชนิด แต่ถ้าเป็นพุทราไทย แบบพุทราป่า จะประหยัดและหอมมาก หอมกว่าพุทราจีน แล้วไปล้างหินปูนในสมอง แก้คนเป็นอัลไซเมอร์ได้ ล้างหลอดเลือดให้สะอาด

     เพราะฉะนั้นที่บอกว่าน้ำตาลมันเป็นโทษอย่างเดียวไม่จริง ที่จริงแล้วน้ำตาลทรายมันบำรุงปอด มันมีผลทางยา แต่ว่าอย่ากินมากเท่านั้นเอง คือ ทุกอย่างไม่ว่าอะไรไม่ควรรับประทานมาก เพราะจะไปแทนที่ สารอาหารตัวอื่น เทนที่เราจะได้รับอย่างละนิด ให้เมันไปใช้ประโยชน์ เราไปเติมอย่างเดียว อย่างอื่นก็ไม่ได้

     ไม่ใช่พอรู้ว่าอะไรมีประโยชน์รับประทานมากๆ อย่างเดียว อย่างนี้ไม่ได้ ต้องรับประทานให้หลากหลาย รับประทานเข้าไปเถอะ แต่ต้องรู้จักว่ารับประทาน แล้วมีอะไรไปแก้ นี่เป็นเรื่องของการล้าง ล้างระบบดูดซึม ล้างสารพิษ ในตัว ในตับ ล้างหลอดเลือด

.....ติดตามต่อตอนที่ 2.....

วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

     มีคนจำนวนมากที่ป่วยโดยไม่น่าจะป่วย โดยเฉาะโรคไตและโรคอัลไซเมอร์ (อัลไซเมอร์ : ความจำบกพร่อง ชนิดของสมองเสื่อมประเภทหนึ่ง เกิดจากเส้นเลือดสมองส่วนความจำเสื่อม หรือขาดวิตามิน บี 12 ไทรอยด์ผิดปกติ ไมเกรน เป็นต้น) โรคภัยไข้เจ็บที่น่าเป็นห่วง คือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสมองและไต
                                         ภาพจาก spectator.co.uk
                                         ภาพจาก authoritynutrition.com

     ต้นเหตุหลักมาจากรับประทานน้ำมันพืชเกินความจำเป็น อาหารส่วนใหญ่ใช้น้ำมันพืชประกอบ ทั้งทอดทั้งผัด น้ำมันปาล์มเมื่อเจอความร้อน 37 องศา จะเกาะตัวเหนียวเป็นกาว แล้วไปขวางลำไส้เอยู่ ทำให้เราดื่มน้ำแล้วซึมผ่านลำไส้ไม่ได้ (ลองไปดูคราบน้ำมันที่ติดขอบกระทะ จะเห็นว่าเหนียวมาก) ดื่มน้ำไม่เกิน 10 นาที ต้องไปปัสสาวะ คนยุคใหม่จึงไม่ค่อยชอบดื่มน้ำ นี่เป็นประเด็นสำคัญ

     เมื่อน้ำไม่เข้าตัวจะเกิดถุงน้ำดีข้น เวลาถุงน้ำดีข้น คนจะเป็นโรคขัดใจไม่ได้ ขัดใจแล้วจะหงุดหงิด เด็กยุคใหม่จึงไม่ค่อยชอบให้ใครขัดใจ ถึงน้ำดีข้นมีสิทธิ์เป็นบ้าได้ คลุ้มคลั่ง เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย

     ประการต่อมา เมื่อถุงน้ำดีข้น ทำให้เลือดไม่ค่อยมาเลี้ยงสมองส่วนหน้า จะหายใจติดขัด และนอนไม่ค่อยหลับ ปวดหัวข้างเดียวบ้าง สองข้างบ้าง เป็นแบบปวดหัวไมเกรน มาจากถุงน้ำดีข้น ต้นเหตุเพราะน้ำดูดซึมเข้าร่างกายไม่ได้ เป็นประเด็นหนึ่งที่คนเป็นกันมาก

     ต่อมาเมื่อน้ำดูดซึมเข้าร่างการไม่ได้ สารอาหารที่ละลายในน้ำก็ดูดซึมเข้าร่างกายไม่ได้เช่นเดียวกัน สารอาหารในโลกมี 2 กลุ่ม ได้แก่

     1. สารอาหารต้องละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามิน ซี, บี, โปรตีน และ กรดอะมิโน
     2. สารอาหารต้องละลายในไขมัน คือ วิตามิน เอ, ดี, อี และ เค

     เมื่อน้ำเข้าไม่ได้ ตัวสารอาหารที่ละลายในน้ำก็ยังเข้าไม่ได้เมื่อเรารับประทานเนื้อสัตว์ ถั่ว เพื่อให้ได้โปรตีนแล้วไปสังเคราะห์กับวิตามินซี, บี ลำพังโปรตีนเข้าไปอย่างเดียว ไตต้องเอาทิ้งเพราะไปสร้างกรดอะมิโนไม่ได้ ต้องไปครบชุด มาไม่ครบชุดมันไล่ทิ้งหมด คราวนี้ เนื่องจากว่าดูดซึมวิตามินซี, บี ไม่ได้ เท่ากับไปไม่ครบชุด พอนำไปไม่ครบชุด ไตจึงต้องขับพวกนี้ทิ้ง ไตเลยทำงานหนักโดยไม่จำเป็น คนจึงเป็นโรคไต ต้องล้างไตเป็นจำนวนมาก อันนี้คือภาวะที่น่าเป็นห่วงอยู่

     ว่ากันตามความเป็นจริงน้ำมันพืชเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น ไม่มีน้ำมันพืชที่รับไปแล้วตายทันที จะสะสมไปนานๆ มันไม่ตายทันที แต่ว่าจะทรมานเราสารพัดอย่าง เมื่อมีคนเตือน คนส่วนใหญ่ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อ

     ลองไปสืบค้นว่าในสมัยพุทธกาล ถ้าเกิดปัญหาแบบนี้ในสมัยพุทธกาลจะทำอย่างไร เราพบว่า ถ้าเกิดกรณีมีไขมันขวางระบบดูดซึม ในสมัยพุทธกาลจะใช้ เภสัช 6 ประการ คือ

     เอานมมาชงกับโยเกิร์ต + เนยข้น + เนยใส + น้ำอ้อย + น้ำผึ้ง         6 ตัว

     แต่ปัจจุบันเราหาเครื่องปรุงให้ครบ 6 อย่างไม่ได้ ก็เลยลองคิดสูตรนี้ดู โดยใช้

     นมสด + โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง + มะนาว                 4 ตัวมาผสมกัน

     ถ้ามะนาวแพง เราเปลี่ยนเป็นผลไม้อย่างอื่นปั่นแทน ปรากฎว่าได้ผล เมื่อรับประทานไปจะล้างไขมันที่เกาะลำไส้ได้ ล้างไม่ล้างเปล่าคือตัวจุลินทรีย์จากโยเกิร์ต เมื่อเราเลี้ยงด้วยน้ำนม + น้ำผึ้ง + มะนาว ผลิตจุลินทรีย์ชนิดดีออกมา เพื่อมาย่อยขยะในลำไส้ แล้วเปลี่ยนขยะเป็น บี12 ไปเลี้ยงสมอง และลดความอ้วนได้ ควรดื่มตอนเช้าหมายถึงก่อนเที่ยง รับประทานหลังเที่ยงจะเพิ่มความอ้วน จุดประสงค์เพื่อไปล้างขยะในลำไส้แล้วเปลี่ยนเป็น บี12
                                                       ภาพจาก pendulumthai.com

     ประโยชน์ของสูตรโยเกิร์ตนี้แม้กระทั่งสุนัขที่เป็นโรคไต หมอไม่รับรักษา คนที่ดูแลสุนัข เขาเอาโยเกิร์ตชงกับนมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว ให้สุนัขกิน แล้วตามด้วยน้ำกระชาย ผลออกมาหายจากโรคไตได้ สุนัขพันธุ์ดุๆ อย่างลอร์ดไวเลอร์ที่อารมณ์ไม่ดี มันจะกัดเด็กกัดคน เราให้สูตร โยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว มันชอบกิน กินแล้วอารมณ์ดีขึ้น

     นี่ก็เป็นประโยชน์ คนเราถ้าระบบดูดซึมไม่ดี ถึงจะรับประทานอะไรไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ระบบดูดซึมของคนไข้ที่เสีย เมื่อปกติรับประทานอะไรไม่เข้าตัว มันก็อ่อนเปลี้ย พอมานอนโรงพยาบาล แต่ให้น้ำเกลือ กลับบ้านได้แล้ว เพราะว่าน้ำเกลือเข้าเส้นมันไม่ต้องผ่านระบบดูดซึม คนก็มีแรงขึ้นมา นั่นคือปัญหาระบบดูดซึมเสีย

     ทุกครั้งที่ท่านมีปัญหาอะไรในชีวิต ขอให้สันนิษฐานว่าระบบดูดซึมเสีย โดยเฉพาะคนที่รับประทานน้ำมันพืช แต่ก็มีน้ำมันที่แก้กันได้ ถึงจะเป็นน้ำมันที่มีประโยชน์ก็ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ ยังไงต้องล้างระบบดูดซึม อันนี้เป็นปัญหาอันดับแรก หลังจากล้างแล้วคนก็หายป่วย

บทความจากหนังสือ "กินอย่างไรจึงจะมีสุขภาพดี"
อาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา (บรรยาย)
จิระวิทย์ ศุภนันทการต์ (เขียน/เรียบเรียง)

วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

     ในตอนนี้จะกล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้คนเราเจ็บป่วยในสองหัวข้อสุดท้าย

     3. คนป่วยรูปกายที่ผิดปกติ เกิดจากเหตุ มีอุตุภายในกับอุตุภายนอก คำว่า "อุตุ" เราจะนึกถึงสภาพ ดิน ฟ้า อากาศ จริงๆ คำว่าอุตุ หมายถึง อุณหภูมิ หรือหมายถึงฤดูกาลก็ได้ อุตุภายใน ภาษาพระเรียกว่า อัชฌัตตอุตุ อุตุภายนอกเรียกว่า พหิทธอุตุ

     อุตุภายใน สภาพของอุตุภายใน จะมีสภาพเป็นประจุไฟฟ้า คือ เราต้องรู้จักเซลล์ประสาทในตัวก่อน เซลล์ประสาทในตัวคนคล้ายสายไฟทั่วร่างกาย ข้างในเป็นพลังจิต ตัวประจุไฟฟ้าที่วิ่งอยู่รอบตัวคน ถ้าวัดด้วยค่าแม่เหล็ก จะได้ประมาณ 0.7 เกาซ์ (Gauss หน่วยวัดความแรงของแม่เหล็ก หรือ หน่วยวัดความเข้มของสนามแม่เหล็ก) อันนี้อุตุของคนปกติ

     ถ้าเป็นคนไม่ปกติอาจน้อยกว่านั้นส่วนมากคนกรุงเทพฯ 0.3 เกาซ์ ซึ่งจะป่วยง่าย คนต่างจังหวัดจะเกินกว่าโดยปกติจะ 0.7 เกาซ์ ถ้าตัวประไฟฟ้าวิ่งอยู่รอบประสาทมันเรืองแสงได้ มีสี มีกลิ่น มีรสชาติต่างกัน

     มีเป็นภาษาต่างๆ คนญี่ปุ่นเรียกอุตุว่า "คิ" คนจีนเรียก "ชี่" เราอาจได้ยินคำว่า "ชี่กง" หรือ "กี่" คนอินเดียเรียก "ปราณ" เราเรียกตามอินเดียว่า "ปราณ" ถ้าตามศาสนาพุทธก็คือ "อุตุ"

     ต้องเข้าใจเรื่องอุตุ การบำบัดเรื่องอุตุมีหลายแบบ เช่น

     - การใช้โลหะบำบัด การใส่แหวนให้ถูกกับนิ้ว ก็เป็นวิชาโลหะบำบัดชนิดหนึ่ง เรียกว่าการบำบัดเชิงอุตุ
     - การใช้สีบำบัด เช่นสีเสื้อผ้าก็เป็นการบำบัดเชิงอุตุ
     - การนวด การกดจุด การฝังเข็ม พลังลมปราณ พลังชิซึ พลังโยเร ก็เป็นการบำบัดเชิงอุตุ
     - การเหยีบบเหล็กร้อนๆ แล้วนวดคน การใช้ลูกประคบก็เป็นการบำบัด การอบไอน้ำ การอาบน้ำแร่แช่น้ำนม เป็นศาสตร์บำบัดในเชิงอุตุ เรียกว่าบำบัดเชิงพลังงานในร่างกาย

     4. การเจ็บป่วยเพราะอาหารการกิน ตัวสุดท้ายเป็นเรื่องของอาหารการกิน คนป่วยเพราะการกิน กัมมจิตโตตุกาหาร มาจาก กัมม-จิต-อุตุและอาหาร ตัวอาหาร จำแนกออกเป็น 4 ประเภท

     4.1 กพฬิงการาหาร อาหารที่เข้าทางปาก ถ้าป่วยเพราะอาหาร ก็รับประทานเข้าไปแก้ ก็หายป่วย

     4.2 ผัสสาหาร เป็นอาหารที่ได้จากการสัมผัส อาหารที่เข้าทางผิวหนังได้ เช่น
           - สมุนไพรบางชนิดทาแล้วหายป่วยได้
           - การโอบกอดลูกก็ทำให้หายป่วยได้ จัดเป็นพวกผัสสาหาร

     4.3 มโนสัญเจตนาหาร เป็นอาหารจากจิตใจ รู้จักใช้พลังจิตมาใช้ในตัวได้ บางครั้งอดอาหารแต่ร่างกายยังแข็งแรงอยู่

     4.4 วิญญาณาหาร เป็นอาหารที่เกิดจากความรักความผูกพัน บางคนป่วยจะตายพอเจอคนที่รักมันปีติซาบซ่านเลยหายป่วยได้

     พระ ป. ญาณโสภโณ ขอเพิ่มเติมว่า

     1. กรรม : ทำกรรมที่ดีไว้ แต่มากเกินไปหรือผิดวิธี เช่น นั่งเจริญภาวนาทำตัวงอ นานๆ อาจทำให้เกิดโรคกาย-โรคใจก็ได้ เรียกว่านั่งไม่ถูกตามสรีระให้ผลร้ายได้
     ทำกรรมไม่ดีไว้โดยมากก็จะให้ผลร้ายให้ผลไม่ดี ทำให้เกิดโรคกาย-โรคใจได้

     2. อนุโมทนา : คำว่า "อนุโมทนา" โดยปกติพระพุทธเจ้าของเราจะนิยมเรียก อนุโมทนาบุญ ใครทำดีแล้วเราอนุโมทนา แต่คนทุบหัวปลาดิ้นแล้ว พวกเด็กตบมือเชียร์ เข้าทำนองอนุโมทนาบาป

     3. เจ้ากรรม : คำว่า "เจ้ากรรม"  หมายถึง กรรมไม่ดีที่เราทำไว้เอง ทำความดีไว้มากๆ ไม่เหลียวหลังดูบาปที่ทำไว้อีก กรรมบางคดีก็อโหสิกรรมยกเลิกไปก็มี เช่น พระองคุลีมาล
         นายเวร : คำว่า "นายเวร" หมายถึง คนที่ผูกพยาบาทจองเวรกับเราไว้ หรือสาปแช่งไว้ ถ้าเราทำบุญอุทิศให้ แผ่เมตตาให้ท่าน ท่านอาจพอใจ อโหสิกรรมให้ก็ได้

     4. กพฬีการาหาร (กะ-พะ-ฬี-กา-รา-หาร) : แปลว่า อาหาร คือสิ่งที่ให้เป็นคำๆ เช่น คำข้าว

     5. มโนสัญเจตนาหาร (มะ-โน-สัญ-เจ-ตะ-นา-หาร) : อาหาร คือ ความตั้งใจหรือตั้งจิตมุ่งทำอะไร เป็นพลังเกิดขึ้นได้

     รูปกายหรือรูปขันธ์ตามคัมภีร์พระอภิธรรมมี 28 เช่น ปฐวี เป็นต้น หรือรูปตามพระสูตรมี 32 เช่น เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น

     รูปเกิดจากกรรม-จิต-อุตุ-อาหาร

รูปที่เกิดจากกรรม          เรียกว่า กัมมชรูป
รูปที่เกิดจากจิต             เรียกว่า จิตตชรูป
รูปที่เกิดจากอุตุ             เรียกว่า อุตุชรูป
รูปที่เกิดจากอาหาร       เรียกว่า อาหารชรูป

โรคที่เกิดจากกรรม        เรียกว่า กัมมชโรค
โรคที่เกิดจากจิต           เรียกว่า จิตตชโรค
โรคที่เกิดจากอุตุ           เรียกว่า อุตุชโรค
โรคที่เกิดจากอาหาร     เรียกว่า อาหารชโรค
     จากตอนที่แล้วได้กล่าวถึงหัวข้อที่ 2 การเจ็บป่วยเพราะสภาวะจิต ในตอนนี้จะยกอีกตัวอย่างหนึ่งของผู้ที่ป่วยจากสภาวะจิตของตนเอง

     มีผู้ป่วยอีกรายหนึ่งป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก รักษาอย่างไรก็ไม่หาย หมอให้ยาต้านมะเร็ง (chemotherapy (เคโมเธ'ระพิ) การรักษาโรคด้วยสารเคมี, เคมีบำบัด) แต่อาการเธอไม่ดีขึ้น เตรียมทำพินัยกรรมแล้ว นี่ก็มีปัญหาทางจิตเหมือนกัน ก็คือเป็นคนที่ดูถูกสามี คือ จะรู้สึกว่าสามีเป็นคนที่ไม่เก่ง คนอื่นจะเก่งกว่า เธอจึงเปลี่ยนสามีมาเรื่อย สามีคนล่าสุดมียศเป็นพันตำรวจโท เธอยังว่ากระจอก ไม่เอาไหน ตัวเองเป็นผู้หญิงเก่งมาเจอสังคมที่มีแต่คนเก่ง จึงดูถูกสามี

     ความรู้สึกดูถูกสามี ก็เลยทำให้ตัวเองป่วยเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก บางคนบอกหญิงชายสิทธิเท่าเทียมกัน คำว่าสามีคือผู้ที่เป็นใหญ่กว่า ถึงอย่างไรก็เป็นสมมุติ สัจจะสมมุติให้ใหญ่กว่า กรณีนี้ก็เหมือนกัน หลังจากให้ไปขอขมาสามี และให้ฝึกสมถะก็เอาไม่อยู่ ต้องฝึกวิปัสสนาเดินจงกรม ทำวิปัสสนาด้วยแล้วไปขอขมา หลังจากนั้นก็หายป่วยจากมะเร็งปากมดลูก

     ยกตัวอย่างของเรื่องป่วยทางจิต ต้องเยียวยาทางจิต มีคนไข้บางราย สมัยเด็กๆ พ่อของอาจารญ์สุทธิวัสส์ คำภา จะสอนให้เยียวยาผู้ป่วยทางจิตบางประเภท คือ ผู้ป่วยจะปวดเมื่อยเนื้อตัว แล้วลูกสาวเขาจะรู้สึกตัวตลอดเวลาว่าเขาโดนคุณไสยด้วย จิตมีความรู้สึกอย่างนั้น เวลามาหาหมอ คือ ลูกชายเกิดในตระกูลที่เป็นหมอ พ่อจะสอนวิธีรักษาคือเราจะเตรียมไข่ไก่ไว้ ลักษณะคือเอาไข่ไก่ไปแช่ในน้ำส้มสายชู ให้เปลือกมันนิ่มแล้วแกะเปลือกออก แล้วเอาเส้นผมบ้าง เอาตะปูบ้างมาใส่ไว้ แล้วแต่ว่าเวอร์ชั่นไหน แล้วเอาเปลือกไข่ปิดไว้อย่างเดิม พอแห้งก็จะดูไม่ออก

     คนไข้โรคจิตเหล่านี้ เราจะให้เขาเอาไข่มาเอง เวลารักษาก็ให้หลับตาภาวนา เราก็จะเปลี่ยนไข่โดยจะดูสภาวะจิต ว่าคนนี้เข้าใจว่าโดนคุณไสยจากตะปู ปวดแสบปวดร้อน ก็จะเลือกไข่ที่มีตะปู บางคนต้องเลือกไข่จากเส้นผม จะเอาไข่มาคลึงทั่วร่างกาย แล้วก็แอบเปลี่ยนไข่ พอตอกออกมาไข่มีตะปู อาการปวดเธอก็หายไป อันนี้ไม่ใช่เรื่องหลอกหลวง คนที่ป่วยด้วยสภาวะจิตอย่างนี้ก็ต้องใช้วิธีนี้ มีประโชน์สำหรับคนบางประเภท

     แต่คนเอามาใช้ผิดประเภท เลยกลายเป็นว่าต้มตุ๋นหลอกลวงไป คือ คนบางคนต้องหลอกถึงจะหายป่วย ไม่หลอกไม่หาย เป็นคนไข้ที่ป่วยทางจิต

.....โปรดติดตามต่อตอนที่ 4 (ตอนจบ).....
     ต้นเหตุที่กายผิดปกติ ที่สามารถแยกได้เป็น 4 หัวข้อ คือ

     1. รูปกายผิดปกติ
     2. การเจ็บป่วยเพราะสภาพจิต
     3. คนป่วยรูปกายผิดปกติ
     4. การเจ็บป่วยเพราะอาหารการกิน

     จากตอนที่ 1 ได้กล่าวถึงหัวข้อที่ 1. รูปกายผิดปกติจากกรรม ไปแล้ว ในตอนที่ 2 นี้ จะได้กล่าวถึงหัวข้อถัดไปกันต่อ

     2. การเจ็บป่วยเพราะสภาพจิต เกิดจากจิตป่วยเพราะจิต กินอะไรก็ไม่หาย รักษาอย่างไรก็ไม่หาย จะไปปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ไม่หาย ต้องแก้ที่สภาวะจิต

     มีตัวอย่างที่ท่านอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ท่านเล่าให้ฟังว่า
     ในเรื่องสภาวะจิตที่ต้องใช้สมถะกรรมฐาน คือวันนั้นไปบรรยายที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เรื่องของพลังจิต ต้องสอนพยาบาลให้ใช้พลังจิตกับคนไข้ที่ต้องรอระหว่างผ่าตัดรอคลอด คนไข้จะเครียด ถ้ามีเทคนิคในการใช้พลังจิตกับคนไข้ เขาจะไม่เครียด จะสบายขึ้น

     พอจบการสัมมนา 2 วัน วันสุดท้ายก็มีคำถามจากพยาบาล ถามว่าพลังจิตใช้ทำอะไรได้บ้าง ผมบอกว่าพลังจิตใช้รักษาโรคได้ พยาบาลก็พูดว่า อย่างนั้นอาจารย์ไปใช้พลังจิตกับคนไข้คนหนึ่ง คนไข้รายนี้เป็นพยาบาลที่จุฬาฯ กำลังเรียนปริญญาโทแล้วป่วยด้วยโรคเกล็ดเม็ดเลือดต่ำ หมอรักษาเยียวยาไม่ได้ และอาการไม่ดีขึ้นรอวันตาย ก็เลยไปดู พอตรวจพบต้นเหตุของเขามาจากจิต บังเอิญว่าฟลุคหรือบุญส่งผลพอดี

     ไปพบว่าเด็กคนนี้เกิดในครอบครัวที่ขาดความรัก พ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้ว เป็นลูกที่ขี่เหร่ที่สุดในบ้าน คือ พี่ๆ เป็นหมอกันหมด ตัวเองเป็นพยาบาลถือว่าขี่เหร่ที่สุดในบ้าน แต่ในโรงพยาบาลหน้าตาดี ยังไม่มีแฟน แปลว่าเขาเก็บกด เหมือนทุกคนจะให้ความสนใจแต่พี่ๆ ที่เป็นหมอ ส่วนตัวเขาเป็นพยาบาล(คิดเอาเอง) เหมือนมีปมด้อยเพราะขาดความรัก เพื่อนฝูงก็ไม่ค่อยมี แฟนก็ไม่มี

     ความรู้สึกที่ขาดความรักทำให้เกิดเกล็ดเม็ดเลือดต่ำได้ พอรู้ปัญหาของเขาแล้ว ก็ฝึกให้เขาทำกสิณสีแดงเอาดอกกุหลาบสีแดงให้เขา เพื่อนเขาเอามาให้ ปกติหมอจะไม่อนุญาตให้นำดอกไม้สดเข้ามาเพราะจะติดเชื้อ แต่ว่ากรณีนี้ให้เอาเข้าได้ ก็ฝึกให้เพ่งดอกไม้สีแดง สอนให้เพ่งกสิณ เป็นสมถะกรรมฐาน เมื่อจิตเป็นสมาธิเกล็ดเม็ดเลือดก็เพิ่มขึ้น หมอก็นึกว่าฟลุค ขออีกวันหนึ่ง พอวันที่ 2 เกล็ดเม็ดเลือดเพ่มขึ้นจนพ้นขีดอันตราย หมอจึงยอมให้ออกจากโรงพยาบาล ตอนนี้หายเป็นปกติ นี่ก็เป็นเรื่องของสภาวะจิตที่เป็นเหตุให้เกิดการเจ็บป่วย

.....โปรดติดตามต่อตอนที่ 3.....

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

     การเจ็บไข้ได้ป่วย ที่พบเห็นกันในมนุษย์ ต้องจำแนกก่อนว่า ต้นเหตุที่รูปกายผิดปกติมาจากเหตุ 4 ประการถ้าในพระอภิธรรมจะบอกว่า "กัมมจิโตตุกาหาร"(กัม-มะ-จิต-โต-กา-หา-ระ) สั้นๆ แค่นี้แต่แยกเป็น 4 หัวข้อ คือ

     1. รูปกายเราผิดปกติ อันนี้มาจากกรรมที่เราจะเรียกว่าพันธุกรรมก็ได้ กรรมจำแนกเป็นกรรมในอดีต(การกระทำในอดีตชาติ ไม่มีกำหนดว่าชาติใด)และ กรรมปัจจุบัน(การกระทำในชาตินี้) กรรมจากอดีตก็ส่งผลทำให้คนเจ็บป่วยได้ กรรมปัจจุบันก็มีผลทำให้คนเจ็บป่วยได้เช่นกัน ในต่างประเทศใช้การสะกดจิตเพื่อให้ระลึกชาติ ให้คนย้อนอดีตไป เมื่อพบต้นเหตุของการเจ็บป่วยว่าผู้ป่วยคนนั้นไปทำกรรมอะไรมาแล้ว ต้องชดใช้กรรมอย่างไร บางรายก็ใช้ไม่ได้ ชดใช้ไม่หาย

     ยกตัวอย่างในเรื่องกรรม เช่นพระพุทธเจ้าเคยมีปัญหาเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากกรรม คือ พระพุทธเจ้าทรงปวดหัวไม่หายรักษาก็ไม่หาย ระดับหมอชีวกยังรักษาไม่ได้
     ท่านต้องย้อนอดีตกลับไปดู พบว่ามีสมัยหนึ่ง เกิดเป็นเด็กชายชาวประมง แล้วชาวประมงแถวนั้นไม่กินปลาเป็นหรือปลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ชาวประมงต้องทุบหัวให้ปลาตายก่อน ขณะที่เขาทุบหัวปลา เด็กชาวเลแถวนั้นตบมือดีใจที่ปลามันถูกทุบหัวดิ้น ก็อนุโมทนา ทำให้ปลาอาฆาต แม้กระทั่งเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า เจ้ากรรมนายเวรยังตามมาทวงทำให้ปวดหัว พอท่านระลึกถึงตรงนี้ได้ อาการที่ปวดก็หายไป อย่างนี้เรียกว่าเจ้ากรรมนายเวรยกโทษให้ กรรมบางอย่างอโหสิกรรมกันได้ก็จบกันไป กรรมบางอย่างอโหสิกรรมไม่ได้ก็รับผลนี้ไป

     ยกตัวอย่างกรรมที่ไม่ยอมอโหสิให้ของพระพุทธเจ้า ครั้งหนึ่งก่อนใกล้ปรินิพพานท่านมีไข้สูง เกิดกระหายน้ำมาก รับสั่งให้พระอานนท์ไปหาน้ำ ท่านไปเจอแหล่งน้ำไม่กล้าตักมาถวายพระพุทธเจ้า เพราะน้ำขุ่นมาก มีฝูงวัว ฝูงม้าลุยน้ำไป น้ำก็ขุ่นไม่กล้าตักมาถวาย ทรงรับสั่งให้ไปอีกแหล่งหนึ่ง ไปถึงแหล่งที่สองก็ขุ่นอีก ไม่กล้าตักถวาย จึงทรงรับสั่งให้ไปอีก ไปถึงแหล่งที่สามก็ขุ่นอีก
     ตกลงทั้งสามแหล่งไม่ได้ฉันน้ำ ท่านต้องย้อนอดีตอีกว่าท่านทำอะไรมา ก็พบว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นนายโคบาลเลี้ยงวัว ปกติจะตื่นแต่เช้าพาวัวออกไปแต่เช้ามืด ออกไปข้างนอก พอถึงแหล่งน้ำวัวก็กินน้ำ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดตื่นสาย เพราะไปเที่ยวมา ขณะต้อนวัวไปเจอแหล่งน้ำขุ่นเลยต้องต้อนวัวให้ไปกินอีกแหล่งหนึ่ง แหล่งน้ำก็ขุ่นอีก ก็ต้องต้อนไปอีกแหล่งหนึ่ง ในที่สุดวัวไม่ได้กินทั้งสามแหล่ง วัวเจ้ากรรมนายเวรเลยมาเอาคืน ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าแล้วใกล้จะปรินิพพานในไม่กี่ชั่วโมง ยังขอเอาหน่อย อันนี้เรียกว่า "ไม่อโหสิกรรม"

.......โปรดติดตามต่อตอนที่ 2......

วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

     ธรรมชาติบำบัด หมายถึงการดูแลตัวเองและคนรอบข้างให้มีสุขภาพดี โดยไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ใช้ยา ไม่ผ่าตัด เป็นเรื่องของธรรมชาติบำบัด ส่วนการเจ็บป่วย ถึงขั้นต้องกินยา ต้องผ่าตัด นั่นเป็นเรื่องของหมอแล้ว
     นักธรรมชาติบำบัด ซึ่งทุกคนเป็นได้ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษยชน ที่ต้องดูแลตนเองและคนรอบข้างเป็นงานของนักธรรมชาติบำบัดทุกคน แต่เราต้องมีขอบเขต
     สิ่งที่นักธรรมชาติบำบัดจะใช้ในการดูแลสุขภาพเรา จะพูดถึงพืชสมุนไพร เรื่องสมุนไพร จะจำแนกสมุนไพรออกได้เป็น 3 กลุ่ม เพื่อให้ทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น

     สมุนไพรกลุ่มที่ 1 เรียกว่า สมุนไพรที่เป็นอาหาร
     ถ้าเป็นสมุนไพรที่เป็นอาหาร อย่างนี้นักธรรมชาติบำบัดสอนให้คนนำมากินเป็นอาหารได้ กินสมุนไพรแล้วต้านโรค


     สมุนไพรกลุ่มที่ 2 เรียกว่า สมุนไพรที่เป็นยา
     หมายความว่าเป็นสมุนไพรที่โดยปกติคนไม่เอามารับประทานเป็นอาหาร แต่ใช้เพื่อเป็นยาโดยเฉพาะ เช่น ฟ้าทะลายโจร เวลาพูดเรื่องฟ้าทะลายโจร ต้องบอกว่านี่มันเป็นงานของเภสัชกร และของแพทย์ เราไม่ควรไปรู้จักมันเลยจะดีกว่า นอกจากว่า เวลาเจ็บป่วย แล้วให้ท่านเหล่านั้นเป็นผู้แนะนำเรา
     แต่สมุนไรพที่เป็นอาหาร กินผิดกินถูกไม่เป็นอันตราย แต่ถ้ากินถูกก็ได้กำไร สมุนไพรกลุ่มที่  ซึ่งเป็นยา ยังไม่ใช่เป็นยาอันตราย นัำธรรมชาติบำบัดจะไม่ยุ่งกับเรื่องนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้มีความรู้เฉพาะทางคือแพทย์และเภสัชกรเท่านั้น

     สมุนไพรกลุ่มที่ 3 เรียกว่าสมุนไพรที่เป็นยาพิษ
     ที่จริงพวกนี้ก็เป็นสมุนไพร ถ้าว่ากันตามหลักของหมอชีวกโกมารภัจ ท่านอาจารย์หมอในสมัยพุทธกาล พวกสารหนู กำมะถัน มันเป็นสมุนไพรที่เป็นยาพิษ แต่ว่าแพทย์หรือเภสัชยากรสามารถเอาไปทำยาได้ สารหนูก็เหมือนกัน ที่จริงสารหนูมันคือยาพิษ กินเข้าไปตายแน่นอน แต่มันไปเข้าตำรับยาลม ยาแก้ลมที่เรากินกันต้องมีสารหนู มันถึงจะทรงสรรพคุณ แต่เมื่อเข้าอยู่ในตำรับยาแล้ว มันไม่เป็นพิษ แต่ต้องปรุงโดยเภสัชกรหรือแพทย์

จากหนังสือ "กินอย่างไรจึงจะมีสุขภาพดี"
อ. สทธิวัสส์ คำภา (บรรยาย)
จิระวิทย์ ศุภนันทกานต์ (เขียน/เรีบเรียง)

     การกิน เป็นความจำเป็นสำหรับการมีชีวิต เพราะอาหารที่เรากินเข้าไปนั้นร่างกายนำไปใช้ให้เกิประโยชน์อยู่ 2 ประการ
     1. คือนำไปบำรุงร่างกาย สร้างการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
     2. คือทำให้เกิดพลังงานให้ร่างกายมีแรง ที่จะทำงานเคลื่อนไหวได้ดี



     สองประการนี้จัดว่าเป็นหน้าที่หลังของอาหาร สารอาหารที่ร่างกายต้องการแบ่งเป็น 6 หมู่ วันหนึ่งๆร่างกายต้องการไม่กี่แคลอรี่


      ตามปกติของคนทั่วไป เรากินอาหารกันสามมื้อ ทุกมื้อทุกวัน เราไม่ได้กินด้วยปัญญา คือ ไม่ได้กินกันตามทฤษฎีอย่างฝรั่งสอน ตามที่เล่าเรียนกันมา แต่เรากินกันตามกิเลส กินตามความอร่อย กินตามความอยาก
      ดังนั้นการกิน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเจ็บป่วย เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ
      เรากินกันเกินความต้องการของร่างกาย เป็นเหตุให้เกิดความอ้วน และความอ้วนก็เป็นต้นเหตุอีกหายโรค ทั้งโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขข้อเสื่อม โรคหัวใจ ฯลฯ
      บางพวกกินน้อย เลือกกิน กินไม่ครบหมู่อาหาร ก็เป็นโรคขาดสารอาหาร ผอมจนเนื้อหุ้มกระดูก ร่างกายไม่สมบูรณ์

      คนสมับโบราณ ท่านก็สอนเรื่องการกิน ว่ากินอย่างไรจึงจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย โดยเขาจะสอนว่าให้กินตามมีตามเกิด คำว่า "กินตามมีตามเกิด" คือ กินสิ่งที่เกิดขึ้นที่มีตามฤดูกาลนั้นๆ กินสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว
      ความเจริญทางโลกทุกวันนี้ ทำให้เรากินผิดไปจากที่คนเก่าคนแก่สอน ผลไม้มาจากแดนไกลเราก็หากินได้ พืชผักผลไม้นอกฤดูกาล เราก็ทำกินได้
      การกินจึงไม่ได้กินอย่างตามมีตามเกิด แต่เป็นการกินอย่างที่อยากจะกินต้องได้กิน จึงมีคำกล่าวที่น่าสนใจกล่าวว่า
      " อาหาร เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับร่างกาย เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย กินง่าย หากินก็ง่าย ทำให้เป็นคนอยู่ง่าย "
     แต่.....
      " รสชาติของอาหาร เป็นอาหารของกิเลส การปรุงแต่งเป็นไปตามกิเลส เพื่อสนองกิเลส ทำให้เป็นคนอยู่ยาก กินยาก"
     ความอร่อยของอาหารที่เกิดจากการปรุงแต่ง ให้เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ให้พิสดารอย่างไร เมื่อตักเข้าปากมันอร่อยอยู่ตรงลิ้น พอกลืนผ่านลิ้นก็ไม่รู้รสแล้ว

     ทำอย่างไรให้การกินของเราแต่ละวัน เป็นการกินที่มีปัญญา มีสติระลึกได้ว่าเราจะกินเพื่อบำรุงร่างกายให้ทรงอยู่ได้ในแต่ละวัน เป็นไปเพื่อประโยชน์ของร่างกายจะไม่กินไปเพื่อให้เกิดทุกข์แก่กาย

     การกินเราจะไม่กินเพื่อไปหล่อเลี้ยงกิเลสตัณหา กินไปเพื่อเบียดเบียนสัตว์โลกที่เป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนสุขของเรา

อ้างอิงจากหนังสือ "กินอย่างไรจึงจะมีสุขภาพดี"
อาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา (บรรยาย)
จิระวิทย์ ศุภนันทกานต์ (เขียน/เรียบเรียง)
Subscribe to RSS Feed Follow me on Twitter!