วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557

     การไม่กินอาหารเช้า เป็นเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่เรามองข้ามไป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย

                                          ภาพจาก blog.eduzones.com/

     อาหารมื้อเช้า เป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด ที่ร่างกายต้องการสารอาหารในช่วงเวลา 07:00 - 09:00 น. ระหว่างเวลานี้สมองและใบหน้าของคนเราต้องการเลือดและออกซิเจน เป็นอาหารบำรุงส่งไปเลี้ยงสมอง ถ้าไม่กินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือดมารับออกซิเจน ส่งขึ้นไปเลี้ยงสมอง เพราะสมองต้องการกรดอะมิโนไปบำรุงเซลล์สมอง รวมถึงวิตามินบี 1, บี 6 และบี 12 มื้อเช้าถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็ควรกิน สูตร โยเกิต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว และกล้วยน้ำว้า 1 ลูก

     สาเหตุที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย

     - กระดูกคอข้อที่หนึ่งเคลื่อนไปเบียดทับเส้นประสาท หรือเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง

     - กินอาหารที่ผัดน้ำมันบ่อยเป็นเวลานาน แล้วเกิดไขมันเกาะตัวเหนียวสะสมในลำไส้ ก็มีโอกาสที่เลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย เพราะระบบดูดซึมเสีย และถุงน้ำดีข้น

     - มีพยาธิในลำไส้ หรือพยาธิที่ผิวหนังจะกัดกินเลือดในร่างกาย

     - การไม่กินอาหารเช้าก็เป็นสาเหตุให้เลือดไม่เลี้ยงสมอง

     ถ้าเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ หรือเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อย จะเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น ผมร่วง หน้าแก่เร็ว คออักเสบง่าย นอนไม่ค่อยหลัย นอนไม่เต็มอิ่ม ฝันบ่อย ปวดไหล่ ตื่นกลางดึกบ่อยๆ ปวดหัวข้างเดียว ปวดหัวสองข้าง ปวดหู ปวดกระบอกตา เป็นไซนัส เหงือกบวม เจ็บคอ เจ็บลิ้น ปวดชายโครง ปวดหลัง ปวดเข่า กระดูกสะโพกจะเคลื่อนได้ง่าย ปวดสะโพก ปวดข้อเท้า หลังเท้า วิตกกังวลง่าย
     อาจมีอาหารทีละอย่าง หรือหลายอย่างพร้อมกัน

วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

     บทความก่อนหน้านี้ได้กล่าวถึงเรื่องสาเหตุที่ทำให้คนเราเกิดการเจ็บป่วย เรื่องอาหารการกิน เรื่องการล้างพิษมาพอสมควรแล้ว คราวนี้เราลองมาดูว่า ถ้าจะบำรุงร่างกายให้สดชื่นแข็งแรงมีอะไรบ้างที่พอจะทำรับประทานเองได้

     ถ้าพูดถึงการบำรุงร่างกาย คนเราจะนึกถึงและคุ้นเคยกับโสม โสมมีสารบำรุงร่างกาย รับประทานแล้วจะเแข็งแรง แต่ในโสมเองมันมีสารพิษอยู่ในตัว โสมมีสเตียรอยด์ (Steriod สเทอ'รอยด์ อินทรีย์สารที่ละลายได้ในไขมัน) สติกนิน มีสารพิษหลายตัว โสมบางอย่างห้ามตุ๋น ถ้าตุ๋นแล้วจะอาเจียนเป็นเลือด ต้องอมไว้ในลิ้นเท่านั้น อมไว้ในปาก บางคนรู้เท่าไม่ถึงการเอาโสมไปตุ๋นรับประทาน

     แต่ไม่ว่าโสมชนิดไหน โสมมีคุณสมบัติพิเศษคือสารทั้งหลายในโสมทั้งสารดีและสารร้าย มันไม่สามารถถูกขับออกจากร่างกายได้ รับประทานแล้วจะหมุนเวียนอยู่ในร่างกาย คือยาบางตัวรับประทานเข้าไป ขับถ่ายล้างออกไปได้ หรือบางทีกินหัวไชโป๊ว กินอะไรไปก็ล้างออกหมด แต่โสมล้างเท่าไหร่ไม่ออก พอกินไปนานๆ มันจะหมุนเวียนอยู่ในร่างกายเรา ทำให้เลือดเหนียว เลือดเหนอะ แล้วจะเดินตัวแข็ง แขนแข็ง ขาแข็ง ยืดขาลำบาก นั่งนานๆ ไม่ได้ นั่งนานจะลุกลำบาก นั่นเป็นผลจากการกินโสม

     ในประเทศไทยเรามีสมุนไพรไทยตัวหนึ่งเหมือนโสมทุกอย่างในด้านดี คุณประโยชน์ด้านดีเหมือนโสมทุกอย่าง เสียอย่างเดียวมันไม่มีสารพิษแบบโสม ราคาเลยถูกกว่าเยอะ
                                          ภาพจาก shopbegin.com

     ตัวนั้นคือกระชาย แล้วกระชายที่ดีที่สุดต้องเป็นกระชายเหลือง (กระชายเหลืองคือกระชายที่ใช้ปรุงเครื่องแกงต่างๆ) คุณสมบัติของกระชายที่มีตัวยาสูงสุดคือ กระชายเหลือง รองลงมาคือกระชายแดง ัแล้วตัวบ๊วยคือกระชายดำ ที่คนไทยเราไปเห่อและไปโปรโมทตัวบ๊วยคือกระชายดำ จนทำให้ราคาแพง แล้วก็เอาไปกินกันยกใหญ่ เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา ท่านไปบรรยายที่จังหวัดเลย คนมีปัญหาโรคไตถามว่าจะต้องกินอะไร อาจารย์แนะนำให้ดื่มน้ำกระชาย คนอีสานเขาไม่รู้จักกระชาย แต่เขาพยายามไปหามา เขาไปขุดหัวกระชายดำมาให้ดูว่าอย่างนี้ใช่หรือเปล่า ธรรมดาสมุนไพรสีดำทุกชนิดจะช่วยบำรุงไต ไม่ว่าจะเป็นขิงดำ กระชายดำ ไพรดำ

     อาจารย์เห็นว่าเป็นกระชายดำก็บำรุงได้ จึงบอกว่าให้เอาไปดื่มปรากฎว่าหลังจากนั้นหายจากโรคไต เลยร่ำลือกันใหญ่ว่ากระชายดำรักษาไตได้ แล้วต้องเป็นกระชายดำจังหวัดเลย เพราะว่าคนหายคนแรกอยู่ที่จักหวัดเลย จนกระทั่งกระชายดำราคากิโลกรัมละ 200  บาท กระชายธรรมดากิโลกรัมละ 20 บาท ต่อมาอาจารย์สุทธิวัสส์พูดชี้แจงความจริงทางรายการวิทยุ จนตอนนี้กระชายดำเหลือกิโลกรัมละ 20 บาท กระชายเหลืองกิโลกรัมละ 40 บาท ทำเอากระชายเหลืองขึ้นราคา เพราะคนดื่มกันมากแล้วทำเป็นเครื่องดื่มได้อร่อย

     วิธีทำ คือเอากระชายมาตำ หรือปั่นแลัวคั้นน้ำ จะได้หัวเชื้อกระชาย ถ้าอยากให้ไม่มีกลิ่นฉุนก็ใส่ใบกระเพรา ใบโหระพา ลงไปด้วยจะได้ช่วยดับกลิ่นกระชาย แต่จะได้สรรพคุณคือเพิ่มเม็ดเลือดขึ้นมา

     คนที่นิยมกินหญ้าปักกิ่ง กินแล้วท้องอืด ถ้าใส่น้ำกระชายลงไปจะเสริมสรรพคุณหญ้าปักกิ่งให้ดีขึ้น น้ำใบบัวบกผสมกับน้ำกระชายบำรุงสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ดีมาก

     สูตรมาตรฐาน วิธีทำน้ำกระชายสำหรับดื่ม

     นำเอากระชายเหลือง (กระชายที่ใส่ผสมในเครื่องแกง) มา 500 กรัม(ครึ่งกิโลกรัม) ปั่นกับน้ำ 2 ลิตร แล้วกรองเอาแต่น้ำ ถ้ากลัวกลิ่นกระชายไม่หอม ให้ใส่ใบกระเพรา ใบโหระพา หรือใบบัวบก อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะใส่ทุกอย่างก็ได้ลงปั่น

     และถ้าเป็นใบบัวบกจะช่วยบำรุงสมองได้ด้วย ไม่มีกลิ่นกระชายนำมาดื่มได้ทันที เหลือเก็บไว้ในตู้เย็น ถ้าจะปรุงรสเพิ่มเติมเพื่อความอร่อยให้ดื่มง่าย

    สำหรับคนไม่ชอบกลิ่นกระชาย เวลาดื่มให้รินน้ำกระชายเพียงครึ่งแก้ว แล้วเติมสไปรท์ หรือเซเว่นอัฟ ถ้าเป็นเด็กก็ให้เติมเฮบลูบอยสีเขียวจะหอมมาก และใส่โซดา ส่วนผสมไม่มีสูตรตายตัว ให้ถือเอาความอร่อยความถูกปากถูกใจผู้ดื่มเป็นสำคัญ

     เด็กๆ ถ้าให้ดื่มบ่อยๆ จะไม่ค่อยป่วย ผู้ใหญ่ดิ่มเป็นประจำจะทำให้หัวใจแข็งแรง บำรุงไต บำรุงหัวใจ บำรุงสมอง บำรุงกระดูก ปรับความดันสูงไป หรือต่ำไป ปรับให้พอดี และปรับฮอร์โมนผู้หญิง เพราะถ้ามีฮอร์โมนมากไปจะเป็นมะเร็งเต้านม ฮอร์โมนน้อยไปก็จะเป็นมะเร็งมดลูก กระชายจะปรับให้สมดุล ใครความดันมากก็จะลด ใครความดันต่ำก็จะเพิ่ม ประโยชน์ของการกระชาย กระชายไม่เพิ่มฮอร์โมน แต่ปรับฮอร์โมน

     คนกระผุ กระดูกพรุน หมอบอกว่าเป็นโรคกระดูกบาง ให้ดื่มพักเดียวไปตรวจใหม่หมอจะงงว่าทำไมกระดูกตัน น้ำกระชายยังเป็นตัวหนึ่งที่บำรุงสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน

     สรรพคุณของกระชาย (เพิ่มเติมจาก : ข้อมูลสมุนไพร.com)

ในน้ำกระชาย 1 แก้ว  มีคุณค่าสูงกว่านม 1 แก้วหลายๆเท่า มีวิตามิน ซี บี 1 บี 3 บี 5 และแคลเซี่ยม

     - ช่วยให้ เส้นผมแข็งแรง ผมขาวกลับดำ ผมบางกลับหนา มีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง  กระดูกไม่เปราะบาง
      - ช่วยบำรุงหัวใจ ระบบกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง  เต้นสม่ำเสมอ  ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น
      - ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคกระเพาะ ช่วยขับลม แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยเจริญอาหาร
      - แก้โรคในช่องปากและคอ แก้โลหิตเป็นพิษ ถอนพิษต่างๆ แก้ปวดมวนในท้อง แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร รักษาแผลในปาก กลาก เกลื้อน
      - บำรุงสมอง เพราะช่วยให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น ถ้ากินคู่กับใบบัวบก จะบำรุงสมองได้โดยตรง   ต้องกินเป็นประจำเพื่อป้องกันความจำเสื่อม
      - ปรับสมดุลของความดันโลหิตให้พอดี  ไม่ให้สูงมากหรือต่ำมากเกินไป
      - ช่วยบำรุงตับไตให้แข็งแรง ช่วยให้ไตทำงานได้ดีขึ้น ดูแลระบบมดลูก  รังไข่  กระเพาะปัสสาวะ  ดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง
      - ช่วยฟื้นฟูต่อมไร้ท่อต่างๆ เช่น ต่อมไธรอยต์  ต่อมใต้สมอง  ต่อมหมวกไต  และตับอ่อน  เมื่อต่อมไธรอยต์ปกติดีจะไม่เป็นโรคคอพอก  และยังมีส่วนในการช่วยลดกรดยูริค
      - ช่วยบำรุงมดลูก แก้ตกขาว ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนแอสโตรเจน ในเพศหญิง  เนื่องจาก ถ้าผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศหญิงในตัวมากเกินไปก็อาจเป็นมะเร็งเต้มนม หรือถ้ามีน้อยไปก็อาจจะเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วยซับน้ำคาวปลา สตรีหลั่งคลอดบุตร
ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ในเพศชาย ควบคุมไม่ให้ต่อมลูกหมากโต แก้ปัญหาไส้เลื่อน ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง ทำให้กระปรี้กระเปร่า และใช้บำบัดโรคกามตายด้าน ทำให้กระชุ่ม กระชวย มีกำลัง เสริมสมรรถทาพทางเพศอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย

     กระชาย ถ้านำไปเปรียบกับโสม ราคามันต่างกันราวฟ้ากับดิน ของถูกๆ คนไทยไม่นิยม ชอบของแพงตามภาษาของคนรสนิยมสูงรายได้ต่ำ

     วันนี้ถ้าคิดว่าของไทยเราดี น่าจะลองกันสักตั้ง เงินไทยจะได้ไหลออกน้อยๆ หน่อย

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

     สูตรที่ 7 แก้โรคหอบหืด

     ใช้       :     ขิงแก่ + กระเทียม + หอมแดง + มะนาว + น้ำผึ้ง
                                          ภาพจาก thaihof.org

     วิธีทำ :  ตัวยาที่แก้อาการหอบหืดได้ไว คือ ขิง (ขนาดเท้านิ้วหัวแม่มือผู้ป่วย) นำขิง กระเทียม หอมแดง (น้ำหนักเท่าขิง) นำเข้าเครื่องปั่นหรือตำในครก เติมน้ำดื่ม 1 แก้ว แล้วกรองเฉพาะน้ำ พอได้น้ำแล้วใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 3 - 4 ลูก น้ำจะออกเป็นสีชมพู แต่ถ้าน้ำที่ออกมาเป็นสีอื่นแสดงว่าน้ำนั้นใช้ไม่ได้ เวลาดื่ม ต้องนั่งดื่มอย่างเดียว เพราะยาแรงอาจทำให้ล้มได้ เวาที่ดื่ม ถ้าดื่ม 03:00 - 05:00 ดื่มเพียง 30 วัน แต่ถ้าเลยช่วงเวลานี้ไปก็ต้องดื่มเป็นเวลา 60 วัน

     ปัจจุบันคนที่เป็นหอบหืดที่รักษาไม่หายเพราะว่าร่างกายดื้อยา เรารักษาหอบหืดได้ ส่วนมากคนที่เป็นหอบหืดเพราะรับเชื้อชนิดหนึ่งมาจากในหมู เพราะหมูที่เขาเลื้ยงนั้นจะฉีดยาแก้หอบหืดให้มัน หรือคลุกในอาหารให้กินเพื่อที่หมูจะได้ไม่มีไขมัน หมูรุ่นใหม่ไม่มีไขมัน เพื่อที่จะได้เป็นหมูเนื้อแดง เมื่อคนเรารับประทานหมูเข้าไปจึงทำให้เราได้รับยานั้นไปด้วย พอเรารับประทานมากๆ เข้า ยาที่แก้โรคหอบหืดก็ไม่สามารถระงับอยู่แล้ว

     สูตรที่ 8 โรคริดสีดวง

     ใช้       :     มะระจีน นำมาตำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ ผสมเกลือ น้ำตาล ดื่มก่อน 07:00 น.
                                          ภาพจาก tsgclub.com

     บางคนรับประทานกล้วยหอมไม่ได้ ท้องจะอืดก็อย่ากิน ถ้าเป็นสูตรไทยรับประทานกล้วยหอมมื้อเย็นวันละ 2 ลูก ริดสีดวงก็จะฝ่อไปเอง สูตรจีนรรับประทานกล้วยหอมทั้งเปลือกได้ตลอดวัน(กล้วยหอมสุกอย่างเดียว) สไลด์กล้วยหอมทั้งเปลือกต้มน้ำให้ท่วมกล้วย แล้วเติมน้ำตาลกรวดนิดหน่อย (2 ลูก ต่อ 1 วัน) รับประทานทุกวันจนหาย

     อีกสูตรนำมะระพันธุ์ลูกใหญ่ๆ (มะระจีน) 1 ลูก เอาแต่เนื้อหั่นเป็นชิ้นๆ เหมือนชิ้นฟัก นำมาตำหรือปั่น เวลาตำหรือปั่นห้ามเติมน้ำเพิ่มเข้าไป ได้น้ำแค่ไหนเอาแค่นั้น (ถ้าเติมน้ำจะทำให้ท้องเสีย) เติมน้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ เกลือครึ่งช้อนชา เวลาที่ดีที่สุดที่ควรดื่มคือ เวลา 05:00 - 07:00 น.

     หมายเหตุ : กาลเวลากับการรับประทานอาหารให้เป็นยา เรื่องการกินอะไรให้ตรงเวลาก็มีผลต่อการรักษาอย่างเช่น

     1. การดื่มยาเพื่อรักษาโรคกระเพาะ เวลาที่ดีที่สุดคือ เวลาตั้งแต่ 07:00 - 09:00 น.
     2. การลดความอ้วนควรรับประทานขมิ้นชัน หรือมันเทศเวลาที่ดีคือ 09:00 - 11:00 น. จะสามารถลดได้เร็ว
     3. การบำรุงหัวใจ ถ้ารับประทานผลไม้ เวลาที่ดีที่สุดคือ 11:00 - 13:00 น.
     4. การกินยาลดไข้ เวลาที่ดีสุดคือช่วง 21:00 - 23:00 น.(น้ำขิงทำให้ลดไข้ได้)

     การเลือกเวลาที่รับประทานให้ตรงที่กำหนดนี้ ถ้าทำได้ การรักษาโรคต่างๆ จะให้หายเร็วกว่าปกติ

วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

     สูตรที่ 4 การล้างน้ำตาลในหลอดเลือด

     ใช้       :      กระเจี๊ยบ + พุทรา + รางจืด นำมาต้ม ดื่ม
                                          ที่มาภาพ plugmet.orgfree.com

     น้ำกระเจี๊ยบกับพุทราที่ต้ม บางคนอาจจะเพิ่มรางจืดเข้าไป เพื่อการล้างน้ำตาลในหลอดเลือดได้ีอีกตัวหนึ่ง

     สูตรที่ 5 การล้างสารเสพติด

     ใช้       :     หญ้าดอกขาวแห้งต้ม นำน้ำมาดื่ม
                                            ที่มาภาพ tarasamunpai.com
     ที่ใช้ล้างสารเสพติดก็คือหบ้าดอกขาว เอาหญ้าดอกขาวมาสับ ตากแดดไว้สักแดดแล้วเอามาคั่วให้แห้ง คือห้ามใช้สดๆ เพราะจะมพวกสารพิษอยู่ในตัว เอามาต้มเลยไม่ได้ต้องทำให้แห้งก่อน แล้วจึงจะเอามาต้ม ตัวนี้จะไปล้างสารเสพติด เช่น ติดบุหรี่ ติดเหล้า ติดน้ำตาล คือสารเสพติดที่ไปเคลือบเซลล์ประสาท น้ำตัวนี้จะไปล้างออกได้ แต่ว่าถ้าคนไม่เป็นอะไร ไม่ติดอะไร ต้มดื่มก็จะแค่บำรุงธาตุทำให้มีกำลัง

     หญ้าดอกขาว อยู่ในกลุ่มผัก ไม่อยู่ในกลุ่มยา ไม่เป็นอันตราย ต้มกินเล่นได้ ไม่เป็นอะไรก็กินได้ นี่ก็พวกกระบวนการล้างพิษ

     สูตรที่ 6 แก้โรคเบาหว่าน

     ต้นเหตุมาจากตับอ่อน ไม่แข็งแรง การฟื้นฟูตับอ่อน มีสมุนไพรอยู่ไม่กี่ตัว
                                            ที่มาภาพ balavi.com

     1. หญ้าหวาน จะฟื้นฟูตับอ่อนได้ดีที่สุด โดยเฉพาะตัวรากหญ้าหวาน มีการนำไปแปรรูปเป็นน้ำสกัดจากรากหญ้าหวานเป็นสินค้าส่งออก ส่วนใบหญ้าหวานก็รับประทานได้ ซึ่งพอจะชดเชยแก้เบาหวานได้บ้าง
                                          ที่มาภาพ samunprithai4u.blogspot.com

     2. รายเตยหอม ต้มกับน้ำสามารถฟื้นฟูอาการเบาหวานได้มาก บุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานก็สามารถต้มรากเตยไว้รับประทานได้ มีคุณสมบัติอีกอย่างคือ เพิ่มพลัง (เหมือนกระชายดำ)
                                          ที่มาภาพ nanasarakaset.blogspot.com

     3. ใบมะยม สามารถฟื้นฟูตับอ่อนให้หายขาดได้ รับประทานได้ทั้งใบอ่อนและใบแก่ แต่ที่นิยมมากคือใบเพทาหลาด (ใบที่ไม่อ่อนไม่แก่เกินไป) นำมารับประทานได้โดยการต้ม แกงเลียง ต้มโคล้ง ต้มยำ หรือรับประทานสดๆ ก็ได้

.....ติดตามตอนต่อไป (ตอนที่ 3) ตอนจบ.....
     เมื่อเราทราบว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยเหตุหนึ่งมาจากการกินอาหาร เราต้องแก้ที่การกินอาหาร เรียกว่าเอาเกลือจิ้มเกลือ ในขั้นแรกจะขอแนะนำการล้างพิษเอาสิ่งที่เป็นพิษออกจากร่างการ (ด้วยการกิน) ตามวิธีแบบ "ธรรมชาติบำบัด"

     สูตรที่ 1 ล้างไขมันในลำไส้

     ใช้       :     โยเกิร์ต + นมสด (ประเภทพร่องไขมันก็ได้) + น้ำผึ้ง + มะนาว

     นำมาผสมกันในอัตราส่วนตามความชอบ ผสมแล้วดื่มตอนเช้า ในโยเกิร์ตมีแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส เมื่อเอามาผสมกับนมสด น้ำผึ้ง และมะนาว เพื่อเพิ่มตัวแบคทีเรียให้มีจำนวนเพิ่มขึ้น แล้วจะเข้าไปทำลายไขมันในลำไส้

     สูตรที่ 2 ล้างพิษด้วยเห็ด 3 อย่าง
                                         ที่มาภาพ thaihealth.or.th

     ใช้       :     เห็ดสามชนิดที่รับประทานได้ นำมาต้มเอาน้ำมาดื่ม (ห้ามนำไปผัด) หรือทำอาหารประเภทแกงจืด แกงส้ม ตุ๋นไข่

     ในกระบวนการล้างพิษมันมีสูตรหลายตัวที่ช่วยในการล้างพิษหลายสูตร แต่ว่าบังเอิญอาจารย์สุทธิวัสส์ไปได้สูตรนี้จากผลพวงของงานวิจัย คือ สมัยที่ท่านหุ้นกันกับเพื่อนเป็นโรงงานผลิตยา และจะผลิตเห็ดหลินจือที่ดีที่สุดในโลก แพราะเห็ดหลินจือที่ขายในท้องตลาดมันไม่ดี เพราะกระบวนการผลิตยังไม่ได้ตัวของหลินจือที่ได้มาตรฐาน ก็พยายามที่จะค้นหาวิธีให้ได้เห็ดหลินจือที่ได้คุณภาพดี มีการวิจัยว่าลองให้เห็ดหลินจือหลายตัว หลายสายพันธุ์

     จนกระทั่งทดลองกับหลินจือ ลองเอาเห็ดธรรมดาไปทดลองร่วมด้วย คราวนี้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น เราพบว่าเมื่อเอาเห็ดธรรมดาที่รับประทานได้ 3 ชนิดขึ้นไป มาปรุงอาหารร่วมกัน ตัวอนุพันธ์ของเห็ดจะถักทอกันแล้วไปหุ้มสารพิษได้ โดยเฉพาะพวกอนุมูลอิสระ ซีสต์ เนื้องอก มะเร็ง อัลฟาท็อกซิล ที่อยู่ในตัวมันหุ้มออกมาได้ พอดีหลังจากนั้นโครงการผลิตเห็ดหลินจือจึงล้มโครงการ

     อาจารย์สุวัสส์ก็เอาเรื่องของการใช้เห็ด 3 ชนิดมาเผยแพร่ทั่วประเทศ มีคนเอาเห็ด 3 ชนิดมาปรุงเป็นอาหาร แต่ห้ามผัดน้ำมัน ขอให้เป็นแกงเลียง แกงส้ม ต้มยำ น้ำซุปก๋วยเตี๋ยว ขอให้ใส่เห็ด 3 อย่างที่รับประทานได้ ขอให้หาให้ได้ 3 - 4 อย่าง เช่น เห็ดหอม เห็ดหูหนูขาว เห็ดหูหนูดำ เห็ดอะไรก็ได้ที่กินได้รวมกัน ทำได้ทั้งอาหารคาวและเครื่องดื่ม

     บางคน เดี๋ยวนี้ต้มขาย มี 3 อย่าง เห็ดหูหนูขาว เห็หูหนูดำ เห็ดหอม ต้มด้วยกัน ใส่มะตูม ใบเตย ให้หอม เติมน้ำตาลกรวดก็เป็นเครื่องดื่มที่ขายกัน ขายดิบขายดี เป็นตัวล้างพิษได้ เพราะว่าาการสะสมของพิษไวรัสบีลงตับ ก็ถูกชำระสะสางด้วยตัวนี้ได้ดี นี่ก็เป็นอีกสูตรหนึ่งที่เผยแพร่ถึงการล้างพิษ

     สูตรที่ 3 การล้างหินปูนในหลอดเลือด

     ใช้       :     กระเจี๊ยบแดงสด หรือกระเจี๊ยบแดงแห้ง ต้มกับพุทราไทยแห้ง ต้มดื่มน้ำ
                                                 ที่มาภาพ store4thai.myreadyweb.com
     มีหมอท่านหนึ่งจะโจมตีเรื่องน้ำตาลมาก ว่าน้ำตาลเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะให้เหนียวเกาะที่หลอดเลือด ปกติหลอดเลือดคนจะลื่น พอน้ำตาลไปเกาะก็เหนียว เวลาโคเลสเตอรอล (cholesterol โคเล็ส'เทรรัล ไขมันในเลือด พบในมันสัตว์ น้ำดี เลือด เนื้อเยื่อสมอง น้ำนม ไขแดง ตัว ไต) ไหลผ่านมาน้ำตาลก็เกาะโคเลสเตอรอลไว้อีก ปกติโคเลสเตอรอล มีประโยชน์ทำให้คนอารมณ์ดี มีความสุข พอเจอน้ำตาลมันเหนี่ยวไว้ ทำให้โคเลสเตอรอลซึ่งเป็นตัวดี กลายเป็นโคเลสเตอรอลตัวร้าย ทำให้อุดตันในหลอดเลือด

     ตัวที่ล้างได้ ล้างตัวโคเลสเตอรอลในหลอดเลือดได้ หรือบางทีเกิดหินปูนตามร่างกาย ตามสมอง ตามตัว ไม่มีอะไรเข้าไปล้างหินปูนได้ เราพบว่า การเอากระเจี๊ยบแดงสดหรือแห้ง มาต้มกับพุทรา อันนี้สูตรโบราณ เขาจะใช้พุทราป่า พุทราบ้าน พุทราอยุธยา ต้มกับน้ำกระเจี๊ยบ ถ้าหายาก ก็เอาพุทราจีน คือ พุทราแห้งทุกชนิด แต่ถ้าเป็นพุทราไทย แบบพุทราป่า จะประหยัดและหอมมาก หอมกว่าพุทราจีน แล้วไปล้างหินปูนในสมอง แก้คนเป็นอัลไซเมอร์ได้ ล้างหลอดเลือดให้สะอาด

     เพราะฉะนั้นที่บอกว่าน้ำตาลมันเป็นโทษอย่างเดียวไม่จริง ที่จริงแล้วน้ำตาลทรายมันบำรุงปอด มันมีผลทางยา แต่ว่าอย่ากินมากเท่านั้นเอง คือ ทุกอย่างไม่ว่าอะไรไม่ควรรับประทานมาก เพราะจะไปแทนที่ สารอาหารตัวอื่น เทนที่เราจะได้รับอย่างละนิด ให้เมันไปใช้ประโยชน์ เราไปเติมอย่างเดียว อย่างอื่นก็ไม่ได้

     ไม่ใช่พอรู้ว่าอะไรมีประโยชน์รับประทานมากๆ อย่างเดียว อย่างนี้ไม่ได้ ต้องรับประทานให้หลากหลาย รับประทานเข้าไปเถอะ แต่ต้องรู้จักว่ารับประทาน แล้วมีอะไรไปแก้ นี่เป็นเรื่องของการล้าง ล้างระบบดูดซึม ล้างสารพิษ ในตัว ในตับ ล้างหลอดเลือด

.....ติดตามต่อตอนที่ 2.....

วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

     มีคนจำนวนมากที่ป่วยโดยไม่น่าจะป่วย โดยเฉาะโรคไตและโรคอัลไซเมอร์ (อัลไซเมอร์ : ความจำบกพร่อง ชนิดของสมองเสื่อมประเภทหนึ่ง เกิดจากเส้นเลือดสมองส่วนความจำเสื่อม หรือขาดวิตามิน บี 12 ไทรอยด์ผิดปกติ ไมเกรน เป็นต้น) โรคภัยไข้เจ็บที่น่าเป็นห่วง คือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสมองและไต
                                         ภาพจาก spectator.co.uk
                                         ภาพจาก authoritynutrition.com

     ต้นเหตุหลักมาจากรับประทานน้ำมันพืชเกินความจำเป็น อาหารส่วนใหญ่ใช้น้ำมันพืชประกอบ ทั้งทอดทั้งผัด น้ำมันปาล์มเมื่อเจอความร้อน 37 องศา จะเกาะตัวเหนียวเป็นกาว แล้วไปขวางลำไส้เอยู่ ทำให้เราดื่มน้ำแล้วซึมผ่านลำไส้ไม่ได้ (ลองไปดูคราบน้ำมันที่ติดขอบกระทะ จะเห็นว่าเหนียวมาก) ดื่มน้ำไม่เกิน 10 นาที ต้องไปปัสสาวะ คนยุคใหม่จึงไม่ค่อยชอบดื่มน้ำ นี่เป็นประเด็นสำคัญ

     เมื่อน้ำไม่เข้าตัวจะเกิดถุงน้ำดีข้น เวลาถุงน้ำดีข้น คนจะเป็นโรคขัดใจไม่ได้ ขัดใจแล้วจะหงุดหงิด เด็กยุคใหม่จึงไม่ค่อยชอบให้ใครขัดใจ ถึงน้ำดีข้นมีสิทธิ์เป็นบ้าได้ คลุ้มคลั่ง เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย

     ประการต่อมา เมื่อถุงน้ำดีข้น ทำให้เลือดไม่ค่อยมาเลี้ยงสมองส่วนหน้า จะหายใจติดขัด และนอนไม่ค่อยหลับ ปวดหัวข้างเดียวบ้าง สองข้างบ้าง เป็นแบบปวดหัวไมเกรน มาจากถุงน้ำดีข้น ต้นเหตุเพราะน้ำดูดซึมเข้าร่างกายไม่ได้ เป็นประเด็นหนึ่งที่คนเป็นกันมาก

     ต่อมาเมื่อน้ำดูดซึมเข้าร่างการไม่ได้ สารอาหารที่ละลายในน้ำก็ดูดซึมเข้าร่างกายไม่ได้เช่นเดียวกัน สารอาหารในโลกมี 2 กลุ่ม ได้แก่

     1. สารอาหารต้องละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามิน ซี, บี, โปรตีน และ กรดอะมิโน
     2. สารอาหารต้องละลายในไขมัน คือ วิตามิน เอ, ดี, อี และ เค

     เมื่อน้ำเข้าไม่ได้ ตัวสารอาหารที่ละลายในน้ำก็ยังเข้าไม่ได้เมื่อเรารับประทานเนื้อสัตว์ ถั่ว เพื่อให้ได้โปรตีนแล้วไปสังเคราะห์กับวิตามินซี, บี ลำพังโปรตีนเข้าไปอย่างเดียว ไตต้องเอาทิ้งเพราะไปสร้างกรดอะมิโนไม่ได้ ต้องไปครบชุด มาไม่ครบชุดมันไล่ทิ้งหมด คราวนี้ เนื่องจากว่าดูดซึมวิตามินซี, บี ไม่ได้ เท่ากับไปไม่ครบชุด พอนำไปไม่ครบชุด ไตจึงต้องขับพวกนี้ทิ้ง ไตเลยทำงานหนักโดยไม่จำเป็น คนจึงเป็นโรคไต ต้องล้างไตเป็นจำนวนมาก อันนี้คือภาวะที่น่าเป็นห่วงอยู่

     ว่ากันตามความเป็นจริงน้ำมันพืชเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว ไม่ใช่ระยะสั้น ไม่มีน้ำมันพืชที่รับไปแล้วตายทันที จะสะสมไปนานๆ มันไม่ตายทันที แต่ว่าจะทรมานเราสารพัดอย่าง เมื่อมีคนเตือน คนส่วนใหญ่ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครเชื่อ

     ลองไปสืบค้นว่าในสมัยพุทธกาล ถ้าเกิดปัญหาแบบนี้ในสมัยพุทธกาลจะทำอย่างไร เราพบว่า ถ้าเกิดกรณีมีไขมันขวางระบบดูดซึม ในสมัยพุทธกาลจะใช้ เภสัช 6 ประการ คือ

     เอานมมาชงกับโยเกิร์ต + เนยข้น + เนยใส + น้ำอ้อย + น้ำผึ้ง         6 ตัว

     แต่ปัจจุบันเราหาเครื่องปรุงให้ครบ 6 อย่างไม่ได้ ก็เลยลองคิดสูตรนี้ดู โดยใช้

     นมสด + โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง + มะนาว                 4 ตัวมาผสมกัน

     ถ้ามะนาวแพง เราเปลี่ยนเป็นผลไม้อย่างอื่นปั่นแทน ปรากฎว่าได้ผล เมื่อรับประทานไปจะล้างไขมันที่เกาะลำไส้ได้ ล้างไม่ล้างเปล่าคือตัวจุลินทรีย์จากโยเกิร์ต เมื่อเราเลี้ยงด้วยน้ำนม + น้ำผึ้ง + มะนาว ผลิตจุลินทรีย์ชนิดดีออกมา เพื่อมาย่อยขยะในลำไส้ แล้วเปลี่ยนขยะเป็น บี12 ไปเลี้ยงสมอง และลดความอ้วนได้ ควรดื่มตอนเช้าหมายถึงก่อนเที่ยง รับประทานหลังเที่ยงจะเพิ่มความอ้วน จุดประสงค์เพื่อไปล้างขยะในลำไส้แล้วเปลี่ยนเป็น บี12
                                                       ภาพจาก pendulumthai.com

     ประโยชน์ของสูตรโยเกิร์ตนี้แม้กระทั่งสุนัขที่เป็นโรคไต หมอไม่รับรักษา คนที่ดูแลสุนัข เขาเอาโยเกิร์ตชงกับนมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว ให้สุนัขกิน แล้วตามด้วยน้ำกระชาย ผลออกมาหายจากโรคไตได้ สุนัขพันธุ์ดุๆ อย่างลอร์ดไวเลอร์ที่อารมณ์ไม่ดี มันจะกัดเด็กกัดคน เราให้สูตร โยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว มันชอบกิน กินแล้วอารมณ์ดีขึ้น

     นี่ก็เป็นประโยชน์ คนเราถ้าระบบดูดซึมไม่ดี ถึงจะรับประทานอะไรไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ระบบดูดซึมของคนไข้ที่เสีย เมื่อปกติรับประทานอะไรไม่เข้าตัว มันก็อ่อนเปลี้ย พอมานอนโรงพยาบาล แต่ให้น้ำเกลือ กลับบ้านได้แล้ว เพราะว่าน้ำเกลือเข้าเส้นมันไม่ต้องผ่านระบบดูดซึม คนก็มีแรงขึ้นมา นั่นคือปัญหาระบบดูดซึมเสีย

     ทุกครั้งที่ท่านมีปัญหาอะไรในชีวิต ขอให้สันนิษฐานว่าระบบดูดซึมเสีย โดยเฉพาะคนที่รับประทานน้ำมันพืช แต่ก็มีน้ำมันที่แก้กันได้ ถึงจะเป็นน้ำมันที่มีประโยชน์ก็ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ ยังไงต้องล้างระบบดูดซึม อันนี้เป็นปัญหาอันดับแรก หลังจากล้างแล้วคนก็หายป่วย

บทความจากหนังสือ "กินอย่างไรจึงจะมีสุขภาพดี"
อาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา (บรรยาย)
จิระวิทย์ ศุภนันทการต์ (เขียน/เรียบเรียง)

วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

     ในตอนนี้จะกล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้คนเราเจ็บป่วยในสองหัวข้อสุดท้าย

     3. คนป่วยรูปกายที่ผิดปกติ เกิดจากเหตุ มีอุตุภายในกับอุตุภายนอก คำว่า "อุตุ" เราจะนึกถึงสภาพ ดิน ฟ้า อากาศ จริงๆ คำว่าอุตุ หมายถึง อุณหภูมิ หรือหมายถึงฤดูกาลก็ได้ อุตุภายใน ภาษาพระเรียกว่า อัชฌัตตอุตุ อุตุภายนอกเรียกว่า พหิทธอุตุ

     อุตุภายใน สภาพของอุตุภายใน จะมีสภาพเป็นประจุไฟฟ้า คือ เราต้องรู้จักเซลล์ประสาทในตัวก่อน เซลล์ประสาทในตัวคนคล้ายสายไฟทั่วร่างกาย ข้างในเป็นพลังจิต ตัวประจุไฟฟ้าที่วิ่งอยู่รอบตัวคน ถ้าวัดด้วยค่าแม่เหล็ก จะได้ประมาณ 0.7 เกาซ์ (Gauss หน่วยวัดความแรงของแม่เหล็ก หรือ หน่วยวัดความเข้มของสนามแม่เหล็ก) อันนี้อุตุของคนปกติ

     ถ้าเป็นคนไม่ปกติอาจน้อยกว่านั้นส่วนมากคนกรุงเทพฯ 0.3 เกาซ์ ซึ่งจะป่วยง่าย คนต่างจังหวัดจะเกินกว่าโดยปกติจะ 0.7 เกาซ์ ถ้าตัวประไฟฟ้าวิ่งอยู่รอบประสาทมันเรืองแสงได้ มีสี มีกลิ่น มีรสชาติต่างกัน

     มีเป็นภาษาต่างๆ คนญี่ปุ่นเรียกอุตุว่า "คิ" คนจีนเรียก "ชี่" เราอาจได้ยินคำว่า "ชี่กง" หรือ "กี่" คนอินเดียเรียก "ปราณ" เราเรียกตามอินเดียว่า "ปราณ" ถ้าตามศาสนาพุทธก็คือ "อุตุ"

     ต้องเข้าใจเรื่องอุตุ การบำบัดเรื่องอุตุมีหลายแบบ เช่น

     - การใช้โลหะบำบัด การใส่แหวนให้ถูกกับนิ้ว ก็เป็นวิชาโลหะบำบัดชนิดหนึ่ง เรียกว่าการบำบัดเชิงอุตุ
     - การใช้สีบำบัด เช่นสีเสื้อผ้าก็เป็นการบำบัดเชิงอุตุ
     - การนวด การกดจุด การฝังเข็ม พลังลมปราณ พลังชิซึ พลังโยเร ก็เป็นการบำบัดเชิงอุตุ
     - การเหยีบบเหล็กร้อนๆ แล้วนวดคน การใช้ลูกประคบก็เป็นการบำบัด การอบไอน้ำ การอาบน้ำแร่แช่น้ำนม เป็นศาสตร์บำบัดในเชิงอุตุ เรียกว่าบำบัดเชิงพลังงานในร่างกาย

     4. การเจ็บป่วยเพราะอาหารการกิน ตัวสุดท้ายเป็นเรื่องของอาหารการกิน คนป่วยเพราะการกิน กัมมจิตโตตุกาหาร มาจาก กัมม-จิต-อุตุและอาหาร ตัวอาหาร จำแนกออกเป็น 4 ประเภท

     4.1 กพฬิงการาหาร อาหารที่เข้าทางปาก ถ้าป่วยเพราะอาหาร ก็รับประทานเข้าไปแก้ ก็หายป่วย

     4.2 ผัสสาหาร เป็นอาหารที่ได้จากการสัมผัส อาหารที่เข้าทางผิวหนังได้ เช่น
           - สมุนไพรบางชนิดทาแล้วหายป่วยได้
           - การโอบกอดลูกก็ทำให้หายป่วยได้ จัดเป็นพวกผัสสาหาร

     4.3 มโนสัญเจตนาหาร เป็นอาหารจากจิตใจ รู้จักใช้พลังจิตมาใช้ในตัวได้ บางครั้งอดอาหารแต่ร่างกายยังแข็งแรงอยู่

     4.4 วิญญาณาหาร เป็นอาหารที่เกิดจากความรักความผูกพัน บางคนป่วยจะตายพอเจอคนที่รักมันปีติซาบซ่านเลยหายป่วยได้

     พระ ป. ญาณโสภโณ ขอเพิ่มเติมว่า

     1. กรรม : ทำกรรมที่ดีไว้ แต่มากเกินไปหรือผิดวิธี เช่น นั่งเจริญภาวนาทำตัวงอ นานๆ อาจทำให้เกิดโรคกาย-โรคใจก็ได้ เรียกว่านั่งไม่ถูกตามสรีระให้ผลร้ายได้
     ทำกรรมไม่ดีไว้โดยมากก็จะให้ผลร้ายให้ผลไม่ดี ทำให้เกิดโรคกาย-โรคใจได้

     2. อนุโมทนา : คำว่า "อนุโมทนา" โดยปกติพระพุทธเจ้าของเราจะนิยมเรียก อนุโมทนาบุญ ใครทำดีแล้วเราอนุโมทนา แต่คนทุบหัวปลาดิ้นแล้ว พวกเด็กตบมือเชียร์ เข้าทำนองอนุโมทนาบาป

     3. เจ้ากรรม : คำว่า "เจ้ากรรม"  หมายถึง กรรมไม่ดีที่เราทำไว้เอง ทำความดีไว้มากๆ ไม่เหลียวหลังดูบาปที่ทำไว้อีก กรรมบางคดีก็อโหสิกรรมยกเลิกไปก็มี เช่น พระองคุลีมาล
         นายเวร : คำว่า "นายเวร" หมายถึง คนที่ผูกพยาบาทจองเวรกับเราไว้ หรือสาปแช่งไว้ ถ้าเราทำบุญอุทิศให้ แผ่เมตตาให้ท่าน ท่านอาจพอใจ อโหสิกรรมให้ก็ได้

     4. กพฬีการาหาร (กะ-พะ-ฬี-กา-รา-หาร) : แปลว่า อาหาร คือสิ่งที่ให้เป็นคำๆ เช่น คำข้าว

     5. มโนสัญเจตนาหาร (มะ-โน-สัญ-เจ-ตะ-นา-หาร) : อาหาร คือ ความตั้งใจหรือตั้งจิตมุ่งทำอะไร เป็นพลังเกิดขึ้นได้

     รูปกายหรือรูปขันธ์ตามคัมภีร์พระอภิธรรมมี 28 เช่น ปฐวี เป็นต้น หรือรูปตามพระสูตรมี 32 เช่น เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น

     รูปเกิดจากกรรม-จิต-อุตุ-อาหาร

รูปที่เกิดจากกรรม          เรียกว่า กัมมชรูป
รูปที่เกิดจากจิต             เรียกว่า จิตตชรูป
รูปที่เกิดจากอุตุ             เรียกว่า อุตุชรูป
รูปที่เกิดจากอาหาร       เรียกว่า อาหารชรูป

โรคที่เกิดจากกรรม        เรียกว่า กัมมชโรค
โรคที่เกิดจากจิต           เรียกว่า จิตตชโรค
โรคที่เกิดจากอุตุ           เรียกว่า อุตุชโรค
โรคที่เกิดจากอาหาร     เรียกว่า อาหารชโรค
Subscribe to RSS Feed Follow me on Twitter!